เพิ่ม nation online
ลงในหน้าจอหลักของคุณ
มติ กมธ.กฎหมายลูก ที่ออกมาแบบนี้ โดยมีจำนวน กมธ.ที่ลงมติ : 45 คน
สูตรหาร 100 ต่อ หาร 500 = 32 ต่อ 11 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง
ความหมาย : ให้กำหนดสูตรการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ด้วยการนำจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน มาหารเฉลี่ยผลคะแนนการเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ทุกพรรคการเมืองได้รับ เพื่อหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของแต่ละพรรคการเมือง โดยไม่มีการกำหนดจำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคการเมือง "พึงมี"
จบหรือไม่จบ : กมธ.เสียงข้างน้อยที่เห็นต่าง ได้สงวนคำแปรญัตติไว้ เพื่อไปพิจารณาต่ออีกครั้งในวาระ 2-3 ในที่ประชุมใหญ่รัฐสภา
เรื่องนี้แม้จะยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่พอจะทำให้เห็นทิศทางการเมืองหลังจากนี้ได้ โดยเฉพาะชะตากรรมของบรรดาพรรคการเมืองขนาดเล็ก พรรค 1 เสียง รวมถึงพรรคปัดเศษ
เมื่อมาดูสูตรปาร์ตี้ลิสต์หาร 100 บัตร 2 ใบ...ใครสูญพันธุ์
พลังประชารัฐ 8,441,274 คะแนน
เพื่อไทย 7,881,006 คะแนน
อนาคตใหม่ 6,330,617 คะแนน
ประชาธิปัตย์ 3,959,358 คะแนน
ภูมิใจไทย 3,734,459 คะแนน
เสรีรวมไทย 824,284 คะแนน
ชาติไทยพัฒนา 783,689 คะแนน
เศรษฐกิจใหม่ 486,273 คะแนน
ประชาชาติ 481,490 คะแนน
เพื่อชาติ 421,412 คะแนน
รวมพลังประชาชาติไทย 415,585 คะแนน
ชาติพัฒนา 244,770 คะแนน
พลังท้องถิ่นไท 214,189 คะแนน
รักษ์ผืนป่าประเทศไทย 134,816 คะแนน
พลังปวงชนไทย 80,186 คะแนน
พลังชาติไทย 73,421 คะแนน
ประชาภิวัฒน์ 69,431 คะแนน
พลังไทยรักไทย 60,434 คะแนน
ไทยศรีวิไลย์ 60,354 คะแนน
ครูไทยเพื่อประชาชน 56,633 คะแนน
ประชานิยม 56,264 คะแนน
ประชาธรรมไทย 48,037 คะแนน
ประชาชนปฏิรูป 45,420 คะแนน
พลเมืองไทย 44,961 คะแนน
ประชาธิปไตยใหม่ 39,260 คะแนน
พลังธรรมใหม่ 35,099 คะแนน
พรรคอื่นๆ ราวมกัน 57,344 คะแนน
คะแนนบัตรดีทั้งหมด 35,561,556 คะแนน (หักบัตรเสีย และไม่ประสงค์ลงคะแนนออกแล้ว)
จำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ 38,268,366 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 74.69
จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 51,239,638 คน
เมื่อดูจากข้อสังเกต
1.จำนวนผู้มีสิทธิ์การเลือกตั้งเมื่อปี 62 ราวๆ 51 ล้านคน มาใช้สิทธิ์ราวๆ 38 ล้านคน การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นใหม่ ในปีนี้หรือปีหน้า จะมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากขึ้น และจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ก็อาจจะมากขึ้นตามด้วย เพราะมีกระแสต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และบรรยากาศบ้านเมืองค่อนข้างขัดแย้ง
2.เมื่อปี 62 ใช้ระบบบัตรใบเดียว มีการคิด ส.ส.พึงมี โดยนำ 500 ที่เป็นจำนวน ส.ส.ทั้งสภา ไปหารคะแนนบัตรดีทั้งหมด ดังนั้น ส.ส. 1 คน ต้องได้ราวๆ 71,000 คะแนน
3.ตัวเลข 71,000 คะแนน ถือว่าต่ำ และทำให้พรรคเล็กได้ ส.ส.พอสมควร
4.วิธีคำนวณคะแนนยังให้ปัดเศษเป็นประโยชน์กับพรรคเล็ก ทำให้พรรคที่ได้คะแนนต่ำกว่า 71,000 คะแนน ยังได้ ส.ส. 1 คน เรียกว่าพรรคปัดเศษ
ทั้งนี้ เมื่อดูตามตาราง ก็คือตั้งแต่พรรคพลังประชาภิวัฒน์เป็นต้นมา ซึ่งพรรคเหล่านี้ได้ประโยชน์จากสูตรคำนวณ และได้โหวตหนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯทั้งหมด รวมทั้งพรรคไทยศรีวิไลย์ โดยพรรค 1 เสียงพรรคเดียว ที่ไปอยู่กับฝ่ายค้าน คือ พลังปวงชนไทย ได้ 80,186 คะแนน ไม่ใช่พรรคปัดเศษ
5.ถ้าคิดตัวเลขนี้ คะแนนบัตรดี 35 ล้านคะแนน หากหารด้วย 100 ตามกฎหมายลูกที่กำลังแก้ไขใหม่ และโหวตสูตรหาร 100 กันในวันนี้ ทำให้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน พรรคการเมืองที่จะได้ ส.ส.ต้องมีคะแนนถึง 350,000 คะแนนเป็นอย่างน้อย
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูตามตาราง จะพบว่า ตั้งแต่พรรคชาติพัฒนาลงมา จะไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เลย แต่ยังมีโอกาสได้ ส.ส.เขต ซึ่งพรรคชาติพัฒนาก็ยังได้ ถือว่าไม่สูญพันธุ์
ทว่า ตั้งแต่พรรคพลังท้องถิ่นไทลงมา ไม่มี ส.ส.เขตเลย จะสูญพันธุ์ทั้งหมดหากคิดตามสูตรหาร 100 คือ ไม่ได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์เลย (ส่วน ส.ส.เขต ไม่ได้อยู่แล้ว)
สำหรับพรรคที่อันตราย คือ พรรคเศรษฐกิจใหม่ กับ พรรคเพื่อชาติ เพราะไม่มี ส.ส.เขต
6.ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป คะแนนบัตรดี น่าจะมากกว่านี้ สมมติ 40 ล้านคะแนน ก็จะทำให้คะแนนของ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน สูงขึ้นไปอีก คือ 4 แสนคะแนน
และผลที่จะตามมาคือ พรรคเล็กต้องหนีตาย และควบรวมกับพรรคใหญ่ การเมืองไทยจะเป็นแบบใดต่อไป