
หากเราดู Box Office ตัวเลขรายได้ภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ทำเงินสูงสุดในปี 2023 จะพบว่า 3 อันดับแรก ไม่ได้เป็นภาพยนตร์แนวแอคชัน หรือภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ ที่ปกติแล้ว จะเป็นแนวภาพยนตร์ที่ทำเงินได้สูงที่สุดในแต่ละปี ซึ่งนี่อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ภาพยนตร์แนวนี้กำลังเสื่อมความนิยม และคนดูกำลังต้องการดูอะไรใหม่ๆ จากฮอลลีวูด เราลองมาดูกันว่า รายได้ภาพยนตร์ในปี 2023 บอกอะไรเราบ้าง เกี่ยวกับเทรนด์ภาพยนตร์ที่กำลังมาในอนาคต
ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงที่สุดในปี 2023 คือ Barbie ซึ่งกวาดรายได้ทั่วโลกไป 1,440 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของทุกคน เพราะ Barbie เป็นหนังที่สร้างจากของเล่น ตุ๊กตาสำหรับเด็กผู้หญิง ห่างไกลความเป็นหนังแอคชัน หรือหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่คนดูส่วนใหญ่ชื่นชอบ แถมดูเป็นหนังที่เจาะตลาดเด็กผู้หญิงเพียงอย่างเดียว แต่กลับกลายเป็นว่าหนังสามารถเจาะตลาดคนดูได้ทุกกลุ่ม แม้ภายนอก จะดูเป็นหนังสีชมพูสุดหวานแหวว แต่เนื้อหาข้างใน กลับซ่อนประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ และจิกกัดสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ได้อย่างมีสีสัน ทำให้เป็นหนังที่ดูได้สนุก สำหรับทุกคน ซึ่ง Barbie แสดงให้เห็นว่าคนดูต้องการดูหนังหวานแหวว น่ารักๆ แต่มีคุณภาพ มีสาระ และหนังแนวนี้ก็ทำเงินได้ถล่มทลายเหมือนกัน
ภาพยนตร์ที่ทำเงินได้สูงสุดเป็นอันดับสามของปีนี้ คือ Oppenheimer ผลงานกำกับของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ทำรายได้ไป 954 ล้านดอลลาร์ โดย Oppenheimer เข้าฉายในเวลาที่ไล่เลี่ยกับ Barbie ทำให้ตอนนั้นเกิดคำว่า Barbieheimer ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่ภาพยนตร์สองเรื่องนี้ ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว สามารถเรียกคนดูกลับไปดูหนังในโรงได้อย่างคึกคัก โดย Oppenheimer เองก็ไม่ได้เป็นหนังแอคชัน หรือเป็นหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่ แต่เป็นหนังชีวประวัติของผู้สร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลก ที่แม้จะเป็นหนังดราม่า แต่ก็มีการดำเนินเรื่องที่เข้มข้น น่าติดตาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนังชีวประวัติ ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังน่าเบื่อ ดูแล้วง่วงเสมอไป หากมีการดำเนินเรื่องที่ดี หนังชีวประวัติก็ดูตื่นเต้นไม่แพ้หนังแอคชัน และยิ่งได้ผู้กับคุณภาพอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน มากำกับ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนดูต้องการดูหนังดราม่าที่มีคุณภาพ แม้หนังจะยาว 3 ชั่วโมง ก็ไม่มีปัญหา
หนังภาคต่อเหล่านี้ถูกดันทุรังสร้างขึ้นมา เพราะคิดว่าชื่อเสียงจากหนังภาคก่อนๆ จะยังพอทำให้หนังทำเงินได้ ไม่ว่าจะสร้างหนังออกมาลวกๆ แค่ไหน ก็คงมีคนตามไปดู ซึ่งไม่เป็นเรื่องจริง ความล้มเหลวของหนังภาคต่อเหล่านี้ น่าจะทำให้ผู้สร้างหนังในฮอลลีวูด หยุดสร้างหนังภาคต่อ ภาค 4 ภาค 5 บางเรื่องก็ลากมาถึง ภาคที่ 10 แล้วหันไปสร้างหนังเรื่องใหม่ๆ แทนจะดีกว่า
ปรากฎการณ์ภาพยนตร์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นอีกอย่างในปี 2023 คือ กระแสแอนตี้ The Little Mermaid จากการคัดเลือกนักแสดงผิวดำมารับบทเป็นแอเรียล ซึ่งไม่ตรงกับบท จนทำให้หลายคนต่อต้านไม่ไปดูหนังเรื่องนี้ ทำให้หนังทำรายได้รวมไปทั่วโลก 570 ล้านดอลลาร์ จากต้นทุน 250 ล้านดอลลาร์ เป็นหนังที่ขาดทุนหนักอีกเรื่องในปีนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้น ถึงกับทำให้ดิสนีย์ ต้องยุติการส่งเสริมความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักแสดง ที่ไม่สมเหตุสมผล และหันกลับมาสร้างหนังที่ตรงกับความต้องการของคนดูเหมือนเดิม