svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

แชมป์หนังฮอลลีวูดทำเงิน 2023 หมดยุคหนังภาคต่อ-ซูเปอร์ฮีโร่

26 ธันวาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ย้อนดูรายได้ภาพยนตร์ฮอลลีวูด ในปี 2023 ซึ่งเป็นปีที่บอบช้ำของภาพยนตร์ภาคต่อและซูเปอร์ฮีโร่ ที่ทำรายได้น้อยจนน่าใจหาย และกลับกลายเป็นภาพยนตร์แนวอื่นที่ทำรายได้ถล่มทลายแทน

หากเราดู Box Office ตัวเลขรายได้ภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ทำเงินสูงสุดในปี 2023 จะพบว่า 3 อันดับแรก ไม่ได้เป็นภาพยนตร์แนวแอคชัน หรือภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ ที่ปกติแล้ว จะเป็นแนวภาพยนตร์ที่ทำเงินได้สูงที่สุดในแต่ละปี ซึ่งนี่อาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ภาพยนตร์แนวนี้กำลังเสื่อมความนิยม และคนดูกำลังต้องการดูอะไรใหม่ๆ จากฮอลลีวูด เราลองมาดูกันว่า รายได้ภาพยนตร์ในปี 2023 บอกอะไรเราบ้าง เกี่ยวกับเทรนด์ภาพยนตร์ที่กำลังมาในอนาคต

 

Barbie
ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงที่สุดในปี 2023 คือ Barbie ซึ่งกวาดรายได้ทั่วโลกไป 1,440 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของทุกคน เพราะ Barbie เป็นหนังที่สร้างจากของเล่น ตุ๊กตาสำหรับเด็กผู้หญิง ห่างไกลความเป็นหนังแอคชัน หรือหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่คนดูส่วนใหญ่ชื่นชอบ แถมดูเป็นหนังที่เจาะตลาดเด็กผู้หญิงเพียงอย่างเดียว แต่กลับกลายเป็นว่าหนังสามารถเจาะตลาดคนดูได้ทุกกลุ่ม แม้ภายนอก จะดูเป็นหนังสีชมพูสุดหวานแหวว แต่เนื้อหาข้างใน กลับซ่อนประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ และจิกกัดสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ได้อย่างมีสีสัน ทำให้เป็นหนังที่ดูได้สนุก สำหรับทุกคน ซึ่ง Barbie แสดงให้เห็นว่าคนดูต้องการดูหนังหวานแหวว น่ารักๆ แต่มีคุณภาพ มีสาระ และหนังแนวนี้ก็ทำเงินได้ถล่มทลายเหมือนกัน

The Super Mario Bros. Movie ภาพยนตร์ที่ทำเงินได้สูงสุดเป็นอันดับสองในปีนี้ คือ The Super Mario Bros. Movie ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไป 1,361 ล้านดอลลาร์ ลบข้อครหาที่ว่าภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมมักจะไม่ประสบความสำเร็จ และข้อครหาที่ว่า หนังครอบครัวที่เน้นให้เด็กๆ ดูมักไม่ทำเงิน แม้หนังจะถูกวิจารณ์ว่า ไม่ได้เป็นหนังที่มีคุณภาพอะไรมาก ก็แค่หนังที่สร้างจากเกมชื่อดังให้เด็กดู แต่ตรงนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้สร้างหนังฮอลลีวูดว่าควรให้ความสำคัญกับหนังแนวครอบครัว หรือคนดูที่เป็นเด็กมากกว่านี้ ไม่ใช่ทำแต่หนังแอคชันเพื่อเอาใจกลุ่มคนดูวัยรุ่น หรือผู้ชายเพียงอย่างเดียว


Oppenheimer

ภาพยนตร์ที่ทำเงินได้สูงสุดเป็นอันดับสามของปีนี้ คือ Oppenheimer ผลงานกำกับของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ทำรายได้ไป 954 ล้านดอลลาร์ โดย Oppenheimer เข้าฉายในเวลาที่ไล่เลี่ยกับ Barbie ทำให้ตอนนั้นเกิดคำว่า Barbieheimer ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่ภาพยนตร์สองเรื่องนี้ ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว สามารถเรียกคนดูกลับไปดูหนังในโรงได้อย่างคึกคัก โดย Oppenheimer เองก็ไม่ได้เป็นหนังแอคชัน หรือเป็นหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่ แต่เป็นหนังชีวประวัติของผู้สร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลก ที่แม้จะเป็นหนังดราม่า แต่ก็มีการดำเนินเรื่องที่เข้มข้น น่าติดตาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนังชีวประวัติ ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังน่าเบื่อ ดูแล้วง่วงเสมอไป หากมีการดำเนินเรื่องที่ดี หนังชีวประวัติก็ดูตื่นเต้นไม่แพ้หนังแอคชัน และยิ่งได้ผู้กับคุณภาพอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน มากำกับ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนดูต้องการดูหนังดราม่าที่มีคุณภาพ แม้หนังจะยาว 3 ชั่วโมง ก็ไม่มีปัญหา

The Marvels มาดูรายได้หนังที่น่าผิดหวังในปี 2023 กันบ้าง The Marvels ได้ชื่อว่าเป็นหนังของค่ายมาร์เวลที่ทำรายได้น้อยที่สุด ด้วยการกวาดรายได้ไปทั่วโลกเพียง 198 ล้านดอลลาร์ ด้วยทุนสร้างกว่า 273 ล้านดอลลาร์ นอกจากขาดทุนยับเยินแล้ว คำวิจารณ์ก็แย่พอกัน ว่าเป็นหนังที่เหมือนไม่ตั้งใจสร้างเท่าไร และก็ไม่มีอะไรใหม่ให้ตื่นเต้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงสำหรับหนังค่ายมาร์เวล ที่รายได้และคำวิจารณ์ของหนังเรื่องใหม่ๆ มีแต่จะตกต่ำลงเรื่อยๆ สาเหตุน่าจะมาจากการขาดทิศการดำเนินเรื่องที่ชัดเจน จากการผูกโยงจักรวาลหนังมาร์เวลที่มีแต่จะมึนงงมากขึ้น จนคนดูจำไม่ได้ว่าใครเป็นอะไรและเกี่ยวข้องกันยังไง และการดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จเดิมๆ ที่คนดูเดามุกตลก และเดาเนื้อเรื่องได้หมดแทบจะทุกอย่าง ซึ่งหากค่ายมาร์เวล ไม่รีบปรับเปลี่ยนสไตล์การทำหนังของตัวเอง หนังเรื่องต่อๆ ไป ก็อาจจะยิ่งขาดทุนยับเยินมากกว่านี้

 

Indiana Jones and the Dial of Destiny ปี 2023 ยังเป็นปีที่น่าผิดหวังสำหรับหนังภาคต่อหลายๆ เรื่อง ที่เคยเป็นหนังทำเงินถล่มทลายมาก่อน แต่พอสร้างติดกันหลายๆ ภาค กลายเป็นว่ายิ่งสร้าง กลับยิ่งเจ๊ง ไม่ว่าจะเป็น Indiana Jones and the Dial of Destiny หรือ Indiana Jones ภาค 5 ที่ทำรายได้ไปเพียง 384 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้าง 300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากรวมค่าการตลาด กับสัดส่วนรายได้ที่ต้องแบ่งให้โรงหนังแล้ว ก็ถือว่าเจ็บตัวหนัก ส่วน Fast X ของ วิน ดีเซล ที่แม้จะกวาดรายได้ทั่วโลกไป 705 ล้านดอลลาร์ แต่ใช้ทุนสร้างสูงถึง 340 ล้านดอลลาร์ ก็เจ็บตัวเหมือน แล้วก็ยังมี Mission: Impossible – Dead Reckoning Part 1 ทำรายได้ทั่วโลกไป 580 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ขาดทุนหนักถึง 100 ล้านดอลลาร์ ส่วน The Expendables 4 ของซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ต้องเรียกว่าเข้าขั้นหายนะ เพราะทำรายได้ไปเพียง 51 ล้านดอลลาร์ จากงบประมาณ 100 ล้านดอลลาร์


หนังภาคต่อเหล่านี้ถูกดันทุรังสร้างขึ้นมา เพราะคิดว่าชื่อเสียงจากหนังภาคก่อนๆ จะยังพอทำให้หนังทำเงินได้ ไม่ว่าจะสร้างหนังออกมาลวกๆ แค่ไหน ก็คงมีคนตามไปดู ซึ่งไม่เป็นเรื่องจริง ความล้มเหลวของหนังภาคต่อเหล่านี้ น่าจะทำให้ผู้สร้างหนังในฮอลลีวูด หยุดสร้างหนังภาคต่อ ภาค 4 ภาค 5 บางเรื่องก็ลากมาถึง ภาคที่ 10 แล้วหันไปสร้างหนังเรื่องใหม่ๆ แทนจะดีกว่า

 

The Little Mermaid
ปรากฎการณ์ภาพยนตร์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นอีกอย่างในปี 2023 คือ กระแสแอนตี้ The Little Mermaid จากการคัดเลือกนักแสดงผิวดำมารับบทเป็นแอเรียล ซึ่งไม่ตรงกับบท จนทำให้หลายคนต่อต้านไม่ไปดูหนังเรื่องนี้ ทำให้หนังทำรายได้รวมไปทั่วโลก 570 ล้านดอลลาร์ จากต้นทุน 250 ล้านดอลลาร์ เป็นหนังที่ขาดทุนหนักอีกเรื่องในปีนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้น ถึงกับทำให้ดิสนีย์ ต้องยุติการส่งเสริมความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักแสดง ที่ไม่สมเหตุสมผล และหันกลับมาสร้างหนังที่ตรงกับความต้องการของคนดูเหมือนเดิม

logoline