แม้จะมีความพยายามชี้แจงเพิ่มเติมจาก “พรรคเพื่อไทย” และผู้สนับสนุนนโยบาย “แจกเงินหมื่น” ว่าเงินดิจิทัลที่นำมาใช้ในโครงการนี้ ไม่ใช่ เหรียญ Cypto Currency ซึ่งเจ๊งกันระนาวเมื่อปีที่แล้ว และไม่มีสินทรัพย์หรือทองคำหนุนหลัง ซึ่งเป็นเหรียญที่ออกโดยเอกชน ใครก็ได้ มีทั้งของจริง และของปั่น
แต่เงินที่จะนำมาใช้ในนโยบายของ “พรรคเพื่อไทย” คือ เหรียญ Digital หรือ Digital Currency ซึ่งออกโดยธนาคารกลาง โดย “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ก็มีเช่นกัน คือ Central Bank Digital Currency หรือ CBDC เหรียญประเภทนี้มีทองคำหนุนหลังทุกเหรียญ มีสถานะเป็น Stable Coins (มีเสถียรภาพ มูลค่าคงที่)
แต่ถึงแม้จะมีคำชี้แจงเพื่อเพิ่มความมั่นใจออกมา ว่างานนี้จะไม่มีการเอื้อประโยชน์เอกชนรายใด โดยเฉพาะเอกชนชื่อเดียวกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่เคยลงทุนกับเหรียญคริปโตฯ จนเจ๊งระนาวก็ตาม แต่เรื่องนี้ก็ยังมีคำถามตามมาอยู่ดี
อนึ่งมาทำความเข้าใจ Cypto Currency กับ Digital Currency กันสักหน่อย
Cypto Currency ที่ไม่มีสินทรัพย์ /ทองคำหนุนหลัง ออกโดยเอกชน ผลิตมาขายในตลาดโซเชี่ยล ราคาซื้อ/ ขาย ขึ้นอยู่กับความนิยมในอนาคตอาจไม่มีราคาเลยก็เป็นได้
Central Bank Digital Currency มีทองคำหนุนหลัง ออกโดยธนาคารกลาง ประเทศไทย มีเหรียญอินทนนท์ / บาทดิจิทัล ทดแทนเงินกระดาษ อัตราแลกเปลี่ยน 1: 1
บทความที่น่าสนใจ
“นายกรัฐมนตรี” ต้องเป็น ส.ส. หรือไม่ ? กับประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน
คณิตศาสตร์การเมือง ความน่าจะเป็นของ “พรรคเพื่อไทย” ในการเป็นรัฐบาล
1. เมื่อจะใช้เหรียญดิจิทัล ซึ่งมีค่าเท่ากับเงินบาท เหตุใดจึงไม่ใช่เงินบาท มีเจตนาแอบแฝงอะไรที่ต้องใช้เงินดิจิทัล หรือต้องการข้อมูลอะไรของประชาชนเกี่ยวกับ "กระเป๋าเงินดิจิทัล"
2. สรุปว่านโยบายนี้ใช้งบประมาณของรัฐ 100% ใช่หรือไม่
3. เม็ดเงินจากงบประมาณเท่าที่แจกแจงมา ยังไม่มากพอถึง 5.5 แสนล้าน ตามมูลค่าโครงการที่คำนวณเบื้องต้น ไม่ว่าจะดึงจากงบกลาง หรืองบพัฒนาอื่นๆ คำถามคือ "พรรคเพื่อไทย" จะเอาเงินจากที่ไหน ถ้าไม่ออกพันธบัตร หรือใช้เงินทุนสำรองจากแบงก์ชาติ
4. ถ้านโยบายนี้เกิดความผิดพลาด จนประเทศต้องขาดทุน "พรรคเพื่อไทย"รับผิดชอบไหวหรือไม่
5. การใช้เงินรัฐมาแจก แตกต่างจาก "รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์" ที่พรรคเพื่อไทยชี้หน้าด่าเขาตรงไหน
โดย "ศิริกัญญา ตันสกุล" หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อสำนักหนึ่งว่า เห็นด้วยกับการต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เห็นไม่ตรงกันกับ “พรรคเพื่อไทย” ว่าจะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น
เพราะตอนนี้เศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในห้องไอซียูแล้ว เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ออกจากห้องไอซียู แต่ยังแข็งแรงในหลายๆ จุด ฉะนั้นควรนำเงินไปกระตุ้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะจุดที่มีปัญหาจะดีกว่า และเห็นผลมากกว่า โดยใช้เม็ดเงินน้อยกว่า