svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

"ตำรวจเทา" จุดชนวนสร้างพายุใหญ่โหมกระแทกมหาวิกฤต"สำนักงานตำรวจแห่งชาติ"

06 กุมภาพันธ์ 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

วันนี้ "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ"กำลังเผชิญ มหาวิกฤต อย่างไม่คาดคิด จาก"ตำรวจเทา" เป็นมหาวิกฤตที่เป็นเสมือน พายุใหญ่ ที่กระแทก "กรมปทุมวัน" จนระเนระนาดไปอย่างหมดสภาพ ติดตามใน"เจาะประเด็นร้อน" โดย "รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข"

แม้วันนี้ เราจะพูดกันเสมอว่า ยังมีตำรวจที่มากมาย แต่ "ตำรวจเทา" กำลังทำหน้าที่เป็นผู้สร้างพายุลูกแล้ว ลูกเล่า … จนวันนี้ "กรมปทุมวัน" กำลังสิ้นศรัทธาประชาชน และอาจเทียบเคียงได้กับกรณี "เรือหลวงสุโขทัย" ที่ทำให้เสมือนกองทัพ "จมน้ำ"ไปกับพายุใหญ่จากวิกฤตศรัทธาของประชาชนในสังคมไม่แตกต่างกัน
       

อย่างไรก็ตาม พวกเราในสังคมไทยคงต้องขอขอบคุณ "คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ที่ทำหน้าที่เป็น "หมาเฝ้าบ้าน"  แทนพวกเราอย่างดี และทั้งยังทำหน้าที่ "ขอโทษ" แทนคนในสังคมไทยจากการกระทำของตำรวจบางนาย ที่ควรจะเป็น "หมาเฝ้าบ้าน" กลับทำตัวเป็น "สุนัขโจร" ที่แสวงหาผลประโยชน์บนความเปราะบางของสังคมไทยปัจจุบัน ซึ่งการเปิดโกงครั้งนี้ทำให้องค์กรตำรวจไทยจึงตกเป็น "จำเลยสังคม" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

"ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" เกาะติดตามตรวจสอบธุรกิจข้ามชาติผิดกฎหมายโดยมีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง

 

เพราะในด้านหนึ่งบุคลากรบางคนขององค์กรตำรวจไทยกลายเป็น "แนวร่วมใกล้ชิด" ขององค์กรอาชญากรรมจีน และในอีกกรณี บุคลากรขององค์กรนี้ กระทำการไม่ต่างกับ "องค์กรอาชญากรรมท้องถิ่น"  ที่ข่มขู่เรียกทรัพย์  หรืออาจไม่ต่างจากองค์กรก่อการร้ายในบางประเทศที่ตั้งด่านเพื่อเก็บ "ค่าผ่านทาง" เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเปิดโปงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มีนัยสำคัญกับการพิจารณาปัญหาความมั่นคงไทยในอนาคต และทำให้ข้อถกเถียงปัญหา “ภัยคุกคามใหม่” ของไทยในประเด็นเช่นนี้มีรูปธรรมชัดเจนขึ้น 


กรณีของ"แก๊งอาชญากรรมข้ามชาติจีน" สะท้อนประเด็นอย่างมีนัยสำคัญของ "ปัญหาภัยคุกคามข้ามชาติ"  รูปแบบใหม่ (transnational threat) ซึ่งแต่เดิมในยุคสงครามเย็นนั้น นักความมั่นคงไม่เคยถือว่าอาชญากรรมเป็นปัญหาความมั่นคง เพราะถือเป็นเรื่องของการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายภายใน จึงไม่ถูกนำมา "ทำให้เป็นปัญหาความมั่นคง" (securitization)


    แฟ้มภาพ 9 ม.ค. 66 พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. แถลงกรณีกลุ่มทุนจีนสีเทา ใช้วีซ่านักเรียนและกระทำความผิดในไทย และจากการตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่ของสตม. เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

 

แต่หลังจากการสิ้นสุดของสงครามเย็น และตามมาด้วยการมาของกระแสโลกาภิวัตน์ ปัญหาอาชญากรรมจึงไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ภายในบริบทของรัฐ และมีลักษณะของการเป็นปัญหาข้ามชาติอย่างชัดเจน จนนักความมั่นคงต้องยกระดับของการมองปัญหา และถือว่า "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ" (Transnational Organized Crime หรือ TOC) เป็นโจทย์สำคัญของปัญหาความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 และสำหรับโจทย์ความมั่นคงชุดนี้ ฝ่ายรัฐมีองค์กรตำรวจเป็นกำลังหลักในการต่อสู้กับภัยคุกคามจากองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาไม่ใช่ภัยคุกคามทางทหาร กองทัพจึงไม่ใช่องค์กรหลักในการต่อสู้ (แต่ก็มิได้นัยว่าปัญหานี้จะไม่เข้าไปพัวพันกับคนในกองทัพ)

การปรากฏตัวของแก๊งอาชญากรรมจีนในไทย จึงเป็นภาพสะท้อนของ "โลกาภิวัตน์ด้านมืด" กล่าวคือ แก๊งอาชญากรจีนมาพร้อมกับกระแส "โลกาภิวัตน์จีน" ที่มีนัยถึงการเปิดประเทศ และการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งก็ตามมาด้วยการขยายตัวขององค์กรอาชญากรรมด้วย แต่ด้วยความเข้มงวดของอำนาจรัฐจีน อาชญากรเหล่านี้จึงต้องหา "ฐานการผลิต" ใหม่ (ไม่ต่างกับการหาฐานการผลิตใหม่ของอุตสาหกรรมในวิชาเศรษฐศาสตร์) อีกทั้งการกวาดล้างอาชญากรรมจากผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้กลุ่มเหล่านี้ต้องแสวงหาพื้นที่นอกประเทศจีนเพื่อสร้าง "ฐานอาชญากรรม"

 
ดังนั้น โดยเปรียบเทียบแล้ว เราอาจกล่าวได้ว่า ภัยคุกคามในยุคคอมมิวนิสต์คือ "จีนแดง" แต่ภัยคุกคามในยุคโลกาภิวัตน์คือ "จีนเทา" หรืออาจกล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่า ในอดีตเรากลัวการมาของ "การปฎิวัติ" แต่วันนี้เรากลัวการมาของ "อาชญากรรมข้ามชาติ" จากจีน 
      แฟ้มภาพ 23 พ.ย.65 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งชุดสืบสวน-พิสูจน์หลักฐาน ปิดล้อมตรวจค้น “กลุ่มทุนจีนสีเทา” 2 จุด หลังออกหมายจับ “ตู้ห่าว-เฉินหยาง” เตรียมเอาผิดบิ๊กตำรวจ

 

ในยุคนี้ เราไม่จำเป็นต้องหา "จิตวิญญาณการปฎิวัติ" ของชาวสังคมนิยมจีนอีกต่อไปแล้ว รัฐบาลจีนปัจจุบันจึงดูไม่ใส่ใจ และก็ไม่สนใจกับปัญหาเหล่านี้เท่าใดนัก ปัญหาดังกล่าวจึงถูกปล่อยให้เป็นภาระหนักของรัฐบาลท้องถิ่นที่ต้องเผชิญกับการ "รุกข้ามชาติ" ครั้งใหญ่ของอาชญากรจีน
     

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดจากกรณีนี้ คือ "จีนแดง" ได้เปลี่ยนมาเป็น "จีนเทา" และขยายตัวไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังจะเห็นได้ว่าไทย ลาว เมียนมา และกัมพูชา กลายเป็น "ฐานที่มั่นใหญ่" ของแก๊งจีนเทา ตลอดรวมถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดอยู่ในไทยและในภูมิภาค ซึ่งก็เป็นผลผลิตของแก๊งจีนเหล่านี้ และที่สำคัญ เราไม่เคยเห็นท่าทีที่ชัดเจนของรัฐบาลปักกิ่งในการจัดการกับการกระทำของอาชญากรรมจีนในภูมิภาค จนทำให้เกิดการตีความในอีกด้านหนึ่งว่า รัฐบาลปักกิ่งได้ขยายอิทธิพลจีนส่วนหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านการขยายอิทธิพลขององค์กรอาชญากรรมจีนที่เชื่อมต่อกับอำนาจรัฐท้องถิ่น


การเปิดโปงของ "คุณชูวิทย์" จึงช่วยให้สังคมไทยได้เห็นภาพของภัยคุกคามใหม่ที่ชัดเจน เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นที่รับรู้ในที่สาธารณะแต่อย่างใด และไม่เคยถูกเปิดเผยอย่างเป็นรูปธรรมถึงการเชื่อมโยงระหว่างอาชญากรรมข้ามชาติกับกลุ่มอำนาจรัฐท้องถิ่น ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในภัยคุกคามชุดนี้ มีบุคลากรจากฝั่งอำนาจรัฐไทยเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง ความเชื่อมโยงในเรื่องนี้จึงสะท้อนชัดว่า องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติจะดำรงอยู่ในท้องถิ่นไม่ได้เลย หากปราศจากการสนับสนุนของบุคลากรในโครงสร้างอำนาจรัฐท้องถิ่น 
     

แน่นอนว่า การต่อสู้กับภัยคุกคามชุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับรัฐไทย เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกับบางส่วนของอำนาจรัฐไทยเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด และเจ้าหน้าที่รัฐในฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ยังช่วยเหลือในการปกป้องการก่ออาชญากรรมในไทย เพราะผลประโยชน์ที่ข้าราชการไทยได้รับมีจำนวนมหาศาล ภาพที่ปรากฏชัดคือ การมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจบางส่วนที่เป็นผู้รักษากฎหมายอีกด้วย
     

อาชญากรรมดังกล่าวเกี่ยวข้องทั้งกับบ่อนการพนัน ยาเสพติด และการค้าประเวณี ตลอดรวมถึงอาจโยงไปสู่การค้ามนุษย์ด้วย และปัญหานี้ยังนำไปสู่การฟอกเงิน การคอร์รัปชั่น และการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ การรักษากฎหมายในบริบทเช่นนี้จึงเป็นความท้าทายต่อฝ่ายรัฐเป็นอย่างยิ่ง และยังสะท้อนอีกว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาความมั่นคงในอีกแบบ เพราะไม่ใช่ภัยคุกคามแบบเดิมที่สังคมไทยคุ้นเคย แต่เป็นภัยของอาชญากรข้ามชาติ
      ชูวิทย์  กมลวิศิษฎ์  อดีตนักธุรกิจสถานบริการเพื่อความบันเทิง ผู้เปิดโปงทุนข้ามชาติผิดกฎหมาย

ในอีกด้าน กรณีของการเรียกเงินจากนักท่องเที่ยวก็เป็นภาพสะท้อนเดิมๆ ของการหาผลประโยชน์โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่บนท้องถนนในเวลากลางคืน แม้เรื่องนี้จะเป็นการ "ตบทรัพย์" แต่ก็ชี้ให้เห็นว่า บุคลากรในองค์กรดังกล่าวอาจถูก "ซื้อตัว" จากองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้ไม่ยากจากการคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่

 

ดังกรณีของสงครามต่อต้านยาเสพติดในประเทศโคลัมเบีย ที่ "คาร์เทล"  (Drug Cartel) ซึ่งเป็นองค์กรค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ ที่สามารถ "ซื้อ" เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนได้ การกระทำครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณถึงความเปราะบางขององค์กรบังคับใช้กฎหมายของไทยในภาวะที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามใหม่จากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติจากจีน ขณะเดียวกันก็กลายเป็นโอกาสของการแทรกซึมของอาชญากรรมเช่นนี้เข้ามาในองค์กรตำรวจไทย ดังจะเห็นจากเส้นสายของการเชื่อมต่อ ทั้งยังโยงไปสู่นายตำรวจระดับสูงอีกด้วย
     

ดังนั้น "ชูวิทย์เอฟเฟ็กต์" นอกจากบอกถึงการมาของภัยคุกคามใหม่จากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติจากจีน แล้ว ผลจากเอฟเฟ็กต์นี้คือ สัญญาณว่าถึงเวลาที่ต้องปฎิรูปด้วยการ "ผ่าตัด" เพื่อ "ยกเครื่อง"  ตำรวจไทยกันใหม่ เพราะวันนี้ "ต้นทุนทางสังคม" ของตำรวจไทยติดลบไปจนหมด อันอาจเปรียบเทียบได้ว่า "กรมปทุมวัน" กำลังจมหายไปกับภาวะ "สิ้นศรัทธาประชาชน" … วิกฤตศรัทธาตำรวจครั้งนี้ใหญ่และใหญ่มากๆ 


ฉะนั้น บรรดาโฆษกตำรวจที่ออกมาแถลงแบบ "ลิเกหน้าม่าน" ด้วยการปกป้อง "ตำรวจเทา" แต่ไม่เคยปกป้อง "สถาบันตำรวจ" คงต้องหยุดได้แล้วครับ สังคม "เบื่อจำอวด" จากกรมปทุมวันแบบนี้มากๆ !

 

หมายเหตุ: ผู้เขียนเขียนในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งเป็น "คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ" (กตร.) และนั่งมององค์กรนี้ด้วยความ "หดหู่ใจ"  เพราะวันนี้ ตำรวจเป็นหนึ่งในองค์กรที่ถูกเรียกว่าเป็นดัง "จตุรพิษ" ของสังคมไทย เนื่องจากการหาผลประโยชน์โดยมิชอบ การคอร์รัปชั่น และการกระทำนอกรีต ได้แก่ "ทหาร-ตำรวจ-ครู-พระ"
 

logoline