
7 พฤษภาคม 2568 สงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถาน อาจเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากอินเดียใช้ปฏิบัติการทางทหารภายใต้ชื่อ "ยุทธการ ซินดอร์" หรือ ซินดูร์ (Operation Sindoor) โจมตีในป่ากีสถาน และดินแดนภายใต้การปกครองของปากีสถานในแคชเมียร์ โดยระบุว่า มีเป้าหมายทำลาย "โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มก่อการร้าย"
ได้แก่ กลุ่ม "ลัชการ์-อี-ไทบา" (Lashkar-e-Taiba) และ "จาอีช-อี-โมฮัมเหม็ด" (Jaish-e-Mohammed) ที่อินเดียเชื่อว่า ได้น้ำหล่อเลี้ยงจากปากีสถาน
ขณะที่ปากีสถานระบุว่า การกระทำของอินเดียถือเป็น "เหตุแห่งสงคราม" (act of war) หรือ มีเจตนายั่วยุให้เกิดสงคราม และปากีสถานจะตอบโต้ ทั้งยังระบุด้วยว่า กองทัพอากาศปากีสถาน (PAF) ได้ยิงเครื่องบินรบ 5 ลำ ของอินเดียตก เนื่องจากละเมิดน่านฟ้า
มีชาวปากีสถานเสียชีวิตเกือบ 10 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบคน จากปฏิบัติการทางอากาศของอินเดีย ทั้งสองฝั่งของชายแดน และเครื่องบินรบของ PAF ได้เข้าสกัดเครื่องบินรบของอินเดียที่รุกล้ำน่านฟ้า ในช่วงสั้นๆ บนน่านฟ้าเหนือพื้นที่พิพาทในแคชเมียร์
ผู้เห็นเหตุการณ์ ระบุว่า เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ตอนที่เครื่องบินรบบินอยู่เหนือศีรษะ ก่อนจะตกลงไปตามจุดต่างๆ บริเวณเส้นควบคุม (Line of Control) หรือ LoC
อินเดียยังไม่ยอมรับเรื่องเครื่องบินถูกสอย เพียงแต่บอกว่า ยุทธการ ซินดอร์ มีขึ้นเพื่อล้างแค้นต่อเหตุการณ์ที่กลุ่มมือปืน บุกเข้าไปสังหารหมู่นักท่องเที่ยว 26 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย เมื่อเดือนเมษายน โดยสถานที่เกิดเหตุเป็นจุดชมวิวบริเวณภูเขา ในพื้นที่ในส่วนปกครองของอินเดีย ซึ่งอินเดียเชื่อว่า ผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ปากีสถานสนับสนุนและจ้องหาโอกาส เล่นงานอินเดีย แต่ปากีสถานปฏิเสธมาโดยตลอด
ส่วนการที่อินเดียใช้คำว่า "ซินดอร์ หรือ ซินดูร์" ในปฏิบัติการทางทหารนั้น มีที่มาจาก "ผงชาดสีแดง" ที่ใช้แต้มหน้าผากหญิงสาวที่แต่งงานออกเรือน ก็เพื่อต้องการสื่อว่า นี่เป็นการล้างแค้นให้เจ้าสาวที่เพิ่่งแต่งงานหมาดๆ และไปเที่ยวแคชเมียร์ แต่สามีถูกผู้ก่อการร้ายยิงสังหารต่อหน้าต่อตา
แม้จะเป็นเพื่อนบ้านติดกัน แต่ทั้งสองประเทศกลับมีความเกลียดชังที่ฝังรากลึก จากการที่อินเดียมีประชากรส่วนใหญ่เป็นฮินดู ส่วนประชากรส่วนใหญ่ของปากีสถานเป็นมุสลิม
นอกจากนี้อินเดียยังเคยใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อปากีสถาน เมื่อปี 2559 และปี 2562 โดยที่ปากีสถานไม่ได้มีการตอบโต้ใดๆ ทั้งยังไม่ยอมรับว่าการโจมตีในครั้งนั้น เกิดขึ้นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงความกดดันให้ต้องโจมตีตอบโต้ ส่วนอินเดียก็โจมตีอย่างจำกัด เพื่อป้องกันการลุกลามบานปลาย
โดยแม้ความสัมพันธ์จะตึงเครียดแบบไม่มีแผ่วมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ทั้งสองจะเข้าสู่สงครามจริงจัง เพราะเมื่อเปรียบเทียบกัน ประชากรปากีสถานมีเพียง 1 ใน 6 ของประชากรอินเดีย ที่ปัจจุบันครองแชมป์ประชากรมากที่สุดในโลก
อินเดียที่ถือแต้มต่อ ยังกดดันปากีสถานด้วยการที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ประกาศระงับ "สนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ" ที่มีมาตั้งแต่ปี 2503 อันเป็นข้อตกลงระหว่างสองชาติในการแบ่งปันน้ำจากแม่น้ำหกสาย ซี่งแม่น้ำสายนี้ มีความสำคัญต่ออินเดียในบางพื้นที่ แต่สำหรับปากีสถานแล้ว ถือได้ว่าเทียบเท่ากับเส้นเลือดใหญ่ เพราะใช้น้ำเหล่านี้ในการเพาะปลูกถึง 80% ของอาหารทั้งประเทศ
เมื่อเปรียบเทียบด้านเศรษฐกิจ ทรัพยากรทางเศรษฐกิจของปากีสถานก็ไม่ถึง 1 ใน 10 ของอินเดีย และปากีสถานก็รู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าต้องเข้าสู่สงครามจริง ก็คงจะสู้อินเดียยาก นอกเสียจากจะสู้ด้วยนิวเคลียร์ ที่จะนำไปสู่หายนะของทั้งสองประเทศ
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงวิตกว่า เหตุการณ์ล่าสุด อาจทำให้ปากีสถานตกอยู่ในสถานการณ์หลังพิงฝา และอาจเลือกยุทธวิธีที่รุนแรงกว่าสงครามตามรูปแบบ (การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ปกติ) เพราะปากีสถานก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมหาอำนาจทางนิวเคลียร์แห่งเอเชียใต้ เช่นเดียวกับอินเดีย
ซึ่งถ้าใช้วิธีนี้ ก็รังแต่จะนำทั้งสองประเทศไปสู่ความสูญเสียที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ที่รวมทั้งชีวิตของผู้คนจำนวนมาก และหายนะจะไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่เอเชียใต้ แต่ทั้งโลกจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้