
7 พฤษภาคม 2568 อินเดีย เปิดฉากใช้ปฏิบัติการทางทหารที่ใช้ชื่อว่า "ยุทธการ ซินดอร์" (Operation Sindoor) ถล่มทั้งปากีถานและดินแดนในความปกครองของปากีสถานในแคชเมียร์ อย่างน้อย 9 แห่ง โดยคำว่า "ซินดอร์ หรือ ซินดูร์" เป็นชื่อของ "ผงชาด" สีแดง ที่ใช้แต้มหน้าผากเจ้าสาวเวลาแต่งงานออกเรือน และอินเดียต้องการสื่อว่า นี่เป็นการล้างแค้นให้เจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานหมาดๆ และไปเที่ยวแคชเมียร์ แต่สามีถูกผู้ก่อการร้ายยิงทิ้งต่อหน้าต่อตา ในเหตุการณ์ที่กลุ่มมือปืนบุกเข้าไปสังหารหมู่พลเรือนในพื้นที่ปกครองของอินเดียในแคชเมียร์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน
ซึ่งแม้จะยืนยันว่า โครงสร้างพื้นฐานทางทหารของปากีสถาน ไม่ได้อยู่ในเป้าหมายของการโจมตี แต่ก็เป็นทราบกันดีว่า อินเดียปักใจเชื่อว่า ปากีสถานเป็นผู้สนับสนุนหลักต่อกลุ่มก่อการร้าย ที่มีเป้าหมายโจมตีอินเดีย
ขณะที่ ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของพื้นที่ทั้งหมดของแคชเมียร์ ทั้งยังเคยทำสงครามกันมาแล้ว 3 ครั้ง ขณะที่ปัจจุบัน ทั้งสองประเทศแยกดินแดนปกครองกัน โดยใช้เส้นควบคุม (Line of Control) หรือ LoC
ในช่วงที่อินเดียโจมตี เว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน "ไฟลท์ เรดาร์ ทะเวนตี้โฟร์" (Flightradar24.com) รายงานว่า ปากีสถานได้ปิดน่านฟ้าสำหรับสายการบินพาณิชย์ ที่เมืองละฮอร์ และการาจี โดยเฉพาะเครื่องบินพาณิชย์ของอินเดีย ส่วนกองทัพปากีสถาน อ้างว่า ยิงเครื่องบินรบของกองทัพอากาศอินเดียตก 5 ลำ รวมทั้ง "ราฟาเอล" (Rafale) 3 ลำ, มิค-29 (MiG-29) 1 ลำ และซู-30 (SU-30) 1 ลำ กับโดรนอีก 1 ลำ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สร้างความวิตกว่า สงครามอาจบานปลายไปสู่ความรุนแรงที่คาดไม่ถึง เนื่องจากทั้งสองประเทศ ต่างก็ได้ชื่อว่า เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์แห่งเอเชียใต้ โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ได้เรียกร้องให้อินเดียกับปากีสถาน "ใช้ความยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด และหลีกเลี่ยงการเพิ่มระดับความรุนแรงซึ่งอาจคุกคามสันติภาพในภูมิภาคและระหว่างประเทศ"
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้สร้างความวิตกว่า สงครามอาจบานปลายไปสู่ความรุนแรงที่คาดไม่ถึง เนื่องจากทั้งสองประเทศ ต่างก็ได้ชื่อว่า เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์แห่งเอเชียใต้ โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE ได้เรียกร้องให้อินเดียกับปากีสถาน "ใช้ความยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด และหลีกเลี่ยงการเพิ่มระดับความรุนแรงซึ่งอาจคุกคามสันติภาพในภูมิภาคและระหว่างประเทศ"
ส่วนอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ "แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อปฏิบัติการทางทหารของอินเดียข้ามเส้นควบคุมและพรมแดนระหว่างประเทศกับปากีสถาน"
ทางด้านสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวโจมตีอินเดียว่า ปฏิบัติการทางทหารของอินเดียต่อปากีสถาน เป็นเรื่องน่าละอาย และเขาหวังว่าจะ "ยุติลงโดยเร็ว" และกระทรวงต่างประเทศจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้พูดคุยกับที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของอินเดียและปากีสถาน และเรียกร้องให้ "ทั้งสองฝ่ายเปิดช่องทางการสื่อสารและหลีกเลี่ยงการเพิ่มระดับความรุนแรง"
อินเดีย ระบุว่า โลกจะต้องแสดงให้เห็นถึง "ความอดทนเป็นศูนย์" ต่อลัทธิก่อการร้าย ด้านนักวิเคราะห์ เตือนว่า อินเดียกับปากีสถานมีประวัติความขัดแย้งยาวนาน โดยที่ต่างฝ่ายอยู่ในพื้นที่อันตราย จากการที่ปากีสถานประกาศจะตอบโต้การโจมตีของอินเดี่ย ทำให้เกิดความเสี่ยงจะลุกลามไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ ซึ่งการโจมตีของอินเดียถือว่าเป็นการโจมตีเพื่อนบ้านรุนแรงที่สุด
นับตั้งแต่สงครามอินเดีย-ปากีสถาน เมื่อปี 2514 ซึ่งเป็นสงครามที่ใหญ่ที่สุดระหว่างสองประเทศ ส่วนสถานการณ์ในปัจจุบันถือว่า "ร้ายแรงและเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด" "การตอบโต้การกระทำของอินเดียอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้" เพราะมีผู้เสียชีวิต 8 คน ในจำนวนเป็นเด็ก 2 คน และบาดเจ็บเกือบ 40 คน
ส่วนอินเดีย ก็มีความจำเป็นต้องกำราบปากีสถาน ที่ปล่อยให้กลุ่มก่อการร้ายโจมตีพลเมืองของอินเดียอย่างเหิมเกริม และแรงกดดันได้ถูกส่งไปที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผู้นำที่ยึดมั่นในความเป็น "ชาตินิยมฮินดู" ที่ประกาศจุดยืนเป็นผู้ปกป้องประเทศชาติ ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นฮินดู และเพิ่งจะชนะเลือกตั้งได้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 3 เมื่อปีที่แล้ว และประกาศตอบโต้ผู้ก่อการร้ายที่ลงมือล่าสุดว่าจะ "ไล่ล่าไปจนสุดขอบโลก"