ทางการยูเครน เปิดเผยว่า ตั้งแต่เช้าจนถึง 14.00 น. วันนี้ตามเวลาท้องถิ่น รัสเซียยิงขีปนาวุธ 84 ลูก และใช้โดรน 24 ลำโจมตีใน 8 แคว้นของยูเครน แต่กองทัพสามารถทำลายขีปนาวุธ 43 ลูกและโดรนอีก 13 ลำ
ขณะที่มีรายงานว่า เสียงระเบิดดังสนั่นทั่วกรุงเคียฟ และการโจมตีด้วยขีปนาวุธและจรวดทั้งในเมืองคาร์คีฟ, ลวีฟ, มิโคเลฟ และดนีโปรเปตรอฟสก์ โดยส่วนใหญ่พุ่งเป้าทำลายโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และมีรายงานเกิดไฟฟ้าดับและน้ำประปาไม่ไหลในหลายมืองใหญ่ รวมถึง เมืองลวีฟ และเมืองคาร์คีฟ
สำนักงานบรรเทาภัยฉุกเฉิน เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 11 รายและผู้บาดเจ็บ 64 รายจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียทั่วยูเครน
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวในคลิปที่เขาบันทึกขณะอยู่นอกทำเนียบประธานาธิบดีว่า รัสเซียมุ่งสร้างความตื่นตระหนกและความโกลาหล ทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และสร้างความสูญเสียต่อประชาชนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวระหว่างการประชุมสภาความมั่นคงว่า การโจมตีในวันนี้เป็นการตอบโต้การโจมตีของยูเครนบนสะพานเคิร์ช ที่เชื่อมไครเมียกับรัสเซีย และการโจมตีอื่น ๆ ในรัสเซีย ที่ถือว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย เขาระบุว่า กองทัพใช้อาวุธที่มีความแม่นยำโจมตีจากทั้งทางอากาศ ทางทะเล และทางบก โดยมุ่งเป้าที่โครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานและกองบัญชาการทหาร และหากยูเครนยังคงโจมตีต่อไป รัสเซียก็จะตอบโต้รุนแรงในระดับเดียวกัน
ด้านนานาชาติร่วมประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยโฆษกของโจเซป บอร์เรลล์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป แถลงว่า อียูขอประณามด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุดต่อการโจมตีอย่างป่าเถื่อนต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน และเจมส์ เคลฟเวอร์ลี รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ บอกว่า การยิงขีปนาวุธในพื้นที่ของพลเรือนในยูเครนเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ และสะท้อนถึงความอ่อนแอของปูติน ไม่ใช่ความเข้มแข็ง
สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเคียฟ เรียกร้องให้พลเมืองที่อยู่ในยูเครนขณะนี้ พยายามอยู่ในเคหะสถาน และอพยพออกจากยูเครนด้วยการเดินทางทางบกด้วยตัวเองหากสามารถทำได้อย่างปลอดภัย