8 สิงหาคม 2565 น.ส.นภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยุติบทบาททางการเมืองหลังอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ โดยเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ควรเอาข้อกฎหมายมาอ้างหรือโยนให้เป็นเรื่องการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ เพราะตัวเองย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าดำรงตำแหน่งนายกฯ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาตีความอีก แต่ควรใช้สามัญสำนึกส่วนตัวหรือคำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองที่พล.อ.ประยุทธ์ มักชอบกล่าวอ้างว่าตัวเองมีเหนือคนทั่วไปอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐธรรมมนูญปี 2560 ที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนเขียนขึ้นมาเองกำหนดให้เป็นนายกฯได้ไม่เกิน 8 ปี ใครจะตีความอย่างไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับความจริงที่ว่าตัวเองจะเป็นนายกฯ ครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ และยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ คิดหมกมุ่นแต่เรื่องการสืบทอดอำนาจ ทั้งการแก้สูตรเลือกตั้งกลับไปกลับมา หรือการแตกพรรคเล็กพรรคน้อยมาเป็นนั่งร้านรองรับการสืบทอดอำนาจรอบใหม่ ก็จะยิ่งถูกกดดันให้ยุติการสืบทอดอำนาจมากขึ้นเท่านั้น
"จึงไม่แปลกที่จะเริ่มมีนักศึกษาปัญญาชนนักวิชาการหรือภาคประชาชนออกมาเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกมากขึ้นเรื่อยเรื่อย แม้กระทั่งคนที่เคยเชียร์ หรือสนับสนุนการรัฐประหารก็ยังทนไม่ไหวกับการไม่รู้จักพอในอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์เลย" น.ส.นภาพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าท้ายที่สุดการเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ยุติบทบาทตัวเองหลังอยู่เกิน 8 ปี เหมือน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ และอดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จะกลายเป็นกระแสของประชาชนทั่วประเทศ และจะกลายเป็นฉันทามติของสังคมในที่สุด หาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังดื้อรั้นอยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็จะกลายเป็นคนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีมีมลทินท่ามกลางเสียงขับไล่ไสส่ง ของคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะการชุมนุมของนักศึกษาในวันที่ 10 ส.ค. และการรวมตัวกันของภาคประชาชนในวันที่ 23 ส.ค.นี้
"หากมีการตั้งฉายาว่า นายกฯเถื่อนให้จริง ก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรอบใหม่ โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นจุดศูนย์รวมของความขัดแย้งทั้งมวล จึงยังพอมีเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะคิดทบทวนว่าจะไปต่อท่ามกลางเสียงขับไล่ของคนทั้งประเทศ หรือจะพูดว่าผมพอแล้วเหมือนป๋าเปรม" น.ส.นภาพรกล่าว