โดย รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่าน "เนชั่นทีวี" ว่า ผลการเลือกตั้งซ่อมจ.ลำปาง ชี้ชัดให้เห็นว่า ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลลดน้อยลง เพราะฝ่ายค้านสามารถเอาชนะฝ่ายรัฐบาลได้ในพื้นที่ที่คาดว่าฝ่ายรัฐบาลจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมในหลายครั้ง ที่ผ่านมาก็จะเห็นแล้วว่าฝ่ายรัฐบาลก็พ่ายแพ้ให้กับฝ่ายค้านด้วยเช่นกัน
ส่วนการที่พรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งนำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แพ้การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ มองว่า แม้ ร.อ.ธรรมนัส จะเป็นคนเก่งในเรื่องการเมือง หรือเล่นการเมืองเก่งก็จริง แต่การเลือกตั้งเป็นเรื่องความศรัทธาของประชาชน ในสายตาประชาชน ขณะเลือกตั้งมองว่า ร.อ.ธรรมนัส ยังไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน เดี๋ยวสนับสนุนรัฐบาล เดี๋ยวยกมือให้ฝ่ายค้าน ทำให้ประชาชนมองไม่ออกว่า ร.อ.ธรรมนัส อยู่ฝ่ายไหนแน่
"การเลือกตั้งซ่อมที่ลำปางเป็นสิ่งที่แต่ละพรรคการเมือง จะต้องนำไปเป็นบทเรียนเพื่อใช้แก้เกมในการเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าทุกพรรคยังมีโอกาส ยังมีเวลาที่จะแก้เกม และเปลี่ยนบรรยากาศทางการเมืองได้ เพราะการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ" รศ.สุขุม กล่าว
ขณะที่ รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มองผลการเลือกตั้งซ่อม จ.ลำปาง ว่า สาเหตุพรรคเศรษฐกิจไทยพ่ายแพ้ให้กับพรรคเสรีรวมไทย ถือเป็นการสะท้อนว่าประชาชนรับไม่ได้กับลักษณะท่าทีของพรรคเศรษฐกิจไทยที่ไม่ได้ตั้งมาด้วยอุดมการณ์ แต่ตั้งมาเพื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
นอกจากนี้ ประกอบกับพฤติกรรมของหัวหน้าพรรค คือ ร.อ.ธรรมนัส มุ่งเน้นการเมืองเชิงต่อรองผลประโยชน์ให้ตัวเอง และชำระแค้นทางการเมืองโดยอ้างประชาชน ความพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ ยังโยงไปถึง พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ ด้วย โดยเฉพาะกระแสนิยมเกี่ยวข้องกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และตัว พล.อ.ประวิตร เอง เห็นได้จากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ผ่านมา จนถึงการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้
ขณะเดียวกัน ร.อ.ธรรมนัส ก็ยังยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ รวมถึงย้ำว่าต้องปรับตัวในทางการเมือง (ล่าสุดลาออกจากการร่วมรัฐบาล) แม้มีบารมี อิทธิพลในพื้นที่ภาคเหนือ แต่ก็ล้มเหลว ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือ เลือกตั้งทั่วไป พื้นที่นี้น่าสนใจ
ทั้งนี้ เพราะฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตยได้เปรียบ แม้คะแนนของพรรคเสรีรวมไทยที่ได้รับ มองว่าบางส่วนอาจเป็นของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากไม่ได้ส่งผู้สมัครลง ขณะที่พรรคพลังประชารัฐเองก็ไม่ส่งเช่นกัน เพื่อดูการทำงานการเมืองแบบ ร.อ.ธรรมนัส ว่าจะเดินต่อไปได้หรือไม่ ฉะนั้น เมื่อผลออกมาล้มเหลว เท่ากับประชาชนไม่เอาสภาพการเมืองแบบเดิม
"พลังประชารัฐคงประเมินว่าจะจับมือ ร.อ.ธรรมนัส ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ โดยเฉพาะการเมืองเชิงขั้วหรือเงิน ยังใช้การได้หรือไม่ แต่ครั้งนี้เหมือนเป็นการสั่งสอนของประชาชน ดีไม่ดีพรรคเศรษฐกิจไทยอาจยุบตัวเอง เพราะสร้างมาเพื่อต่อรองฃมากกว่าเพื่อประโยชน์ประชาชน คนรู้ทัน แต่ถ้าไม่ยุบ ก็มี 2 ก๊อก คือ การหาร 500 ซึ่งอาจได้ ส.ส.อยู่บ้าง เป็นพรรคเล็ก หรือ กดดัน 3 รัฐมนตรีที่จองกฐิน โดนปรับครม. เพื่อผู้กองเองได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วง 10 เดือนหลังจากนี้" รศ.ดร.โอฬาร ระบุ