
เป็นอุทาหรณ์ชั้นดีสำหรับชาวเน็ตและคนทั่วไปไม่น้อยที่ไม่ค่อยชอบดื่มน้ำเปล่า เมื่อวันนี้ (15 ก.ค.) ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์เล่าอุทาหรณ์ ถึงไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า จนเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีก โดยระบุว่า อย่าเลื่อนผ่าน ถ้าคุณไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ภัยเงียบรู้ไว้ก่อนจะสาย ไม่มีสัญญาณเตือน คุณอาจไม่โชคดีเหมือนฉัน
ตลอดเวลาหลายปี ฉันไม่เคยดื่มน้ำเปล่าเลย ไม่ว่าจะหิว เหนื่อย กระหาย หรือหลังทานข้าวทานยา อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่น้ำเปล่าสีใสๆ ฉันทานได้หมด นมเปรี้ยว ชา โกโก้ น้ำอัดลม น้ำสี น้ำผลไม้ เครื่องดื่มชูกำลัง ที่พูดมาทั้งหมดนี้ฉันกินมันแทนน้ำเปล่า เพราะคิดว่ายังไงมันก็คือน้ำ มันก็เหมือนกัน
จนเมื่อปีที่แล้ว ฉันเริ่มมีอาการปวดหัว ปวดแบบจี๊ด ๆ แบบไมเกรน กินยาก็หายเป็นแบบนี้อยู่ 1 - 2 เดือน แล้ววันที่ 12/7/64 ฉันเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว จู่ๆ ก็เหมือนคนปิดไฟแล้วเปิด พอฉันลุกขึ้นยืนตัวมันก็เอียงซ้ายอัตโนมัติ ผิดปกติแล้วฉันรีบตั้งสติเดินออกจากห้องน้ำ เรียกแฟน พอแฟนเข้ามา ฉันก็ล้มทั้งยืน ปากเบี้ยว ชาครึ่งซีกซ้าย อาเจียน ที่บ้านพาฉันส่ง รพ.ภายใน 30 นาที ฉันเข้าอุโมงค์ MRI สแกน
ผลปรากฏว่า เส้นเลือดในสมองตีบ สมองบวม ถ้าไม่หยุดบวม ต้องผ่าสมอง นอนไอซียู ดูอาการ 2 คืน ตรวจสอบหาสาเหตุ หัวใจทุกอย่างปกติ สรุปฉันโชคดีมันหยุดบวมแต่ฉันเดินไม่ได้ ร่างกายซีกซ้ายของฉันมันไม่ทำงานเหมือนเดิม ทุกอย่างล้มเหลว ตาตก ปากเบี้ยวพูดไม่ชัด อาบน้ำเองยังไม่ได้ เดินไม่ได้
ฉันอยู่ รพ. 1 อาทิตย์ ต้องกายภาพเพื่อจะให้กลับมาเดินได้ ช่วยเหลือตัวเองให้ได้อีกครั้ง ฉันฟื้นฟูตัวเอง อยู่ 2 เดือนกว่า รักษาทุกอย่าง กินทุกยา ฝังเข็ม หมดเงินหลายบาทมาก จนฉันกลับมาเดินได้ ร่างกาย 80% ไม่เต็ม 100 แต่แค่นี้มันก็ดีมากแล้ว
สรุป ที่ป่วยครั้งนี้ เพียงเพราะ ร่างกายฉันไม่ได้รับน้ำเปล่า ทำให้เลือดข้น เลือดหนืดมาก ไหลเวียนช้า จับตัวเป็นก้อน ดีที่ไม่กระทบเส้นเลือดสมองด้านความจำ หรือทำให้แตก ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีโอกาสได้เล่าเป็นวิทยาทานให้ทุกคนฟัง 12/7/65 ครบรอบ 1 ปี ยังไม่หายดี เสียเงินค่ารักษา ค่ายา แพงมาก ทั้งๆ ที่น้ำเปล่า เป็นยาที่ดีที่สุด และราคาไม่แพง
ซึ่งภายหลังทราบว่า หญิงสาวที่โพสต์ข้อความดังกล่าว คือ นางสาววิชิตา พันธุ์เรณู อายุ 29 ปี ที่เปิดภายหลังจากที่เธอโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการเตือนภัยเงียบ สำหรับคนที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2564 ใช้ระยะเวลาเกือบ 3 เดือน กว่าจะสามารถกลับมาเดินได้ ซึ่งระหว่างนั้นรักษาหลายอย่างควบคู่กัน ทั้งกายภาพ ฝังเข็ม กระตุ้นไฟฟ้า ทานอาหารเสริม แต่ก็ไม่เหมือนปกติแล้ว แขนข้างซ้ายของตนใช้งานได้ กระตุกเป็นระยะ ไม่สามารถจับหรือหยิบอะไรได้
“ที่มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊กก็เพราะว่ามันครบรอบ 1 ปี ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้และตั้งใจจะเตือนภัยเงียบให้กับทุกคนเพราะปัจจุบันมีคาเฟ่เปิดมากมาย หลายคนก็ชอบทานน้ำหวานหรือน้ำอัดลมมากกว่าน้ำเปล่า แล้วก็ชะล่าใจไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะโรคสโตรคส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันสามารถเกิดขึ้นกับกลุ่มวัยรุ่นได้”
นางสาววิชิตา กล่าวว่า พฤติกรรมในตอนนั้น เราไม่เคยทานน้ำเปล่าเลย หมอก็ตกใจว่าเราอยู่ได้อย่างไร ซึ่งเราก็ทานน้ำอัดลม น้ำสี เครื่องดื่มชูกำลัง นมเปรี้ยว น้ำผลไม้ ทานทุกน้ำยกเว้นน้ำเปล่า หรือถ้าหากไม่มีจริง ๆ เราก็ไม่ทาน เพราะมองว่าน้ำอย่างอื่นมันก็ทดแทนน้ำเปล่าได้ ซึ่งเราใช้ชีวิตแบบนี้มาประมาณ 8 ปี
นางสาววิชิตา กล่าวว่า เมื่อเราลงเรื่องราวนี้ไปหลายคนก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่ามีพฤติกรรมคล้ายกับเราหรือบางคนก็เป็นโรคเดียวกัน ซึ่งเราก็อยากเตือนภัยให้กับทุกคน ตอนที่เราป่วย หมอดีแค่ไหน ยาดีแค่ไหนเรายอมจ่ายเพราะเราอยากหาย แต่ว่าตอนที่เราไม่ป่วย แค่น้ำเปล่าขวดไม่กี่บาท เรากลับไม่ยอมซื้อทาน
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เคยท้อเลย เพราะคิดไว้ตลอดว่าเรามีภาระหน้าที่หลายอย่างที่ต้องดูแล เราจะต้องรีบหายให้เร็วที่สุด ซึ่งตอนนี้ตนก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลับมาเหมือนปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ก็สามารถทำมาหากินได้
ทั้งนี้ โรคนี้คุณหมอแจ้งว่า ตอนนี้โอกาสกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก เพราะมันเป็นแล้วไม่หาย สิ่งที่ทำตอนนี้คือป้องกัน ทานอาหารที่มีประโยชน์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทานน้ำเปล่ามากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก