การประชุมครั้งนี้มีการหารือตั้งแต่เรื่องความมั่นคง วิกฤตสงครามในยูเครน การฟื้นฟูเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด หรือการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ แต่สิ่งที่สหรัฐฯ พยายามจะผลักดันอย่างมากในการประชุมครั้งนี้คือ การขอความร่วมมือจากจากผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนให้ความร่วมมือต่อนโยบายสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในการประชุมที่กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ประเด็นสำคัญในการประชุมก็คือความมั่นคงทางทะเล ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพื้นที่พิพาททางทะเลกับจีน ซึ่งจีนเข้ามาอ้างกรรมสิทธิ์ ทำให้เส้นทางคมนาคมในทะเลจีนใต้ไม่เป็นไปอย่างเสรี ซึ่งแม้ในการประชุม ทางสหรัฐฯ จะไม่ได้พูดชื่อประเทศจีนโดยตรง แต่ยืนยันว่าสหรัฐฯ จะยืนหยัดเคียงข้างชาติพันธมิตรในการปกป้องกฎระเบียบเรื่องการเดินเรือให้เป็นไปอย่างเสรีและตามกฎหมายสากล
การสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีนนับว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะตอนที่ โจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาได้ประกาศชัดเจนว่านโยบายต่างประเทศที่เขาจะให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ คือการแข่งขันกับประเทศจีน แต่นักวิเคราะห์มองว่าการประกาศมอบความช่วยเหลือของสหรัฐฯ 150 ล้านดอลลาร์ มันดูน้อยมากๆ หากเทียบกับจีนที่ประกาศให้ความช่วยเหลืออาเซียนกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์
การประชุมครั้งนี้มีความพิเศษตรงที่ นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้นำชาติอาเซียนถูกเชิญไปที่กรุงวอชิงตันรวมกันแบบเป็นกลุ่ม ก่อนหน้านี้ การประชุมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำชาติอาเซียน เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในสมัยที่ บารัก โอบามา เป็นประธานาธิบดี เมื่อปี 2016 แต่ตอนนั้นประชุมกันที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งการเชิญมาที่กรุงวอชิงตันซึ่งเป็นเมืองหลวงของสหรัฐฯ ก็เหมือนเป็นการยกระดับความสำคัญของความสัมพันธ์ขึ้นไปขั้น และที่สำคัญคือการประชุมครั้งนี้ ไบเดน ไม่ได้พบหรือนัดประชุมผู้นำอาเซียนชาติไหนเป็นการส่วนตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ มองชาติสมาชิกอาเซียนเป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าการรวมตัวกันเป็นกลุ่มแล้วไปเจรจากับชาติมหาอำนาจจะทำให้มีอำนาจในการต่อรองมากกว่าการไปพูดคุยทีละประเทศ