ผลสำรวจล่าสุดที่จัดทำร่วมกันระหว่าง Democracy Institute กับ Sunday Express ที่ออกมาในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ ชี้ว่าในขณะที่คะแนนของ ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง กับ มารีน เลอ เพน ยังคงสูสี แต่ก็มีแนวโน้มที่มาครงอาจจะแพ้อย่างคาดไม่ถึง ในศึกชิง "ปาแล เดอ เลลีเซ" (Palais de l'Elysee) หรือทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบสองเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยปัจจัยชี้ขาดในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงอยู่ที่ตัวแปรหลักคือ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ยังไม่ตัดใจว่าจะเลือกใครที่มีจำนวนที่สูงมาก และเมื่อพวกเขาสามารถตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายได้ คะแนนของพวกเขาก็อาจทำให้มาครงได้รับชัยชนะอย่างเฉียดฉิว หรืออาจทำให้เลอ เพน เอาชนะในแบบที่จะทำให้การเมืองฝรั่งเศสเปลี่ยนไปพลิกขั้ว
ความหวังของมาครงคือเสียงสนับสนุนจากชาวฝรั่งเศสหัวสมัยใหม่ ที่ต่อต้านเลอ เพน เพราะมองว่าเธอเป็นอันตรายต่อฝ่ายประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเมื่อวันศุกร์คู่แข่งทั้งสองถูกถามเกี่ยวกับจุดยืนเรื่องผ้าคลุมศีรษะของสตรีมุสลิม โดยเลอ เพน ตอบว่าเธอต้องการให้ปรับเงินผู้หญิงที่ยังสวมผ้าคลุมศีรษะในที่สาธารณะ ส่วนมาครงต้องการให้ใช้ข้อบังคับที่มีอยู่แล้วตามสถานศึกษาต่าง ๆ ต่อไป
มาครงซึ่งเคยทำงานที่ธนาคารเพื่อการลงทุน Rothschild & CIE Banque ของบริษัท Rothschild & Co. ในตำแหน่งให้คำปรึกษาและวางแผนการเงินแก่บรรดามหาเศรษฐี ทำให้เขาถูกมองว่าเป็น "ประธานาธิบดีของคนรวย" ในช่วง 5 ปี ของการดำรงตำแหน่ง ขณะที่ประเทศกำลังเผชิญสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ขณะที่เลอ เพน พยายามลดโทนของการเป็น "หัวขวาจัด" และเรียกตัวเองใหม่ว่า "ผู้พิทักษ์ผู้อ่อนแอ" และแม้จะเปลี่ยนแนวคิดไม่พาฝรั่งเศสออกจาก EU แล้ว แต่ก็ยังต้องการให้เกิดการปฏิรูป EU จากภายใน และจากที่เคยไปเยือนรัสเซียและพบประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ก่อนศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2560 เธอก็เปลี่ยนมาประณามรัสเซียที่โจมตียูเครน แต่ยังสงวนท่าทีเรื่องการส่งอาวุธไปช่วยยูเครน และเรียกร้องให้นาโตกับรัสเซียหันมาเจรจากันหลังสงครามสิ้นสุด และบอกด้วยว่าไม่เห็นด้วยกับการคว่ำบาตรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของของรัสเซีย