svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"พิธา"โพสต์ติดโควิดรอบสองแนะรัฐเตรียมรับสถานการณ์เลวร้ายสุด

28 มีนาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" โพสต์ข้อความระบุติดเชื้อโควิด-19 รอบสอง คาดมาจากกลุ่มช่างภาพ แนะรัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือกรณีเลวร้ายสุด พร้อมทวงถามคืบหน้ารบ.การจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์รองรับผู้ป่วยเหลือง-แดง

28 มีนาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แจ้งผลการติดเชื้อโควิด-19 รอบ 2 ในรอบ 1 เดือน โดยมีใจความว่า 

 

แจ้งข่าวการติดโควิดครั้งที่ 2 (Reinfection) ภายใน 1 เดือน ของผม ]

 

เรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพครับ จากที่ผมได้ชี้แจงกับพี่น้องประชาชนผ่านช่องทางส่วนตัวเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ว่าผมและลูกสาวของผมตรวจพบเชื้อโควิดผ่านชุดตรวจ ATK ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน เข้าสู่ระบบ HI และกักตัวเป็นเวลา 10 วันหลังจากที่มีอาการ จนหายจากอาการโควิดและตรวจไม่พบเชื้อในสัปดาห์ถัดมา กลับไปทำงานตามปกติและยังตรวจ ATK เป็นประจำทุกวัน

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานซืนนี้ผมได้มีอาการไม่สบายอีกครั้งหนึ่งและตรวจพบเชื้อโควิดผ่านชุดตรวจ ATK ผลเป็นบวกทั้งๆ ที่ไม่น่าเป็นไปได้  ผมจึงไปตรวจยืนยันผลอีกครั้งโดยการตรวจ PCR ก็พบว่าติดเชื้อโควิดอีกครั้งหนึ่ง โดยมีค่า CT อยู่ที่ 19 ซึ่งแพทย์ระบุว่าหมายถึงปริมาณเชื้อมาก วินิจฉัยว่าเป็นการติดโควิด (reinfection) อีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ซากเชื้อจากการเป็นโควิดครั้งก่อน

การติดโควิดครั้งที่สองของผมสันนิษฐานว่าติดจากช่างภาพที่ร่วมงานกัน (ถือเป็น close contact เดียวที่ติดโควิด)โดยผมติดคนเดียว ลูกสาวของผมไม่ได้ติดด้วยและตอนนี้ลูกอยู่ในความดูแลของคุณแม่แล้วครับ

 

เมื่อผมได้คอนเฟิร์มผลด้วยการตรวจ PCR ว่าเป็นการติดซ้ำครั้งที่ 2 (Reinfection) แน่นอน ผมได้สอบถามแพทย์เรื่องการติดซ้ำของสายพันธุ์โอมิครอน BA1 และ BA2 ได้รับการชี้แจงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และในอังกฤษมีผู้ติดโควิดซ้ำถึง 650,000 คน โดยโอมิครอนมีโอกาสติดซ้ำมากกว่าเดลตาถึง 5 เท่า ตอนนี้กำลังมีการส่งต่อผลแล็ปของผมเพื่อตรวจสายพันธุ์ต่อไปครับ

 

ผมขอใช้โอกาสนี้ขอโทษที่ผมไม่สามารถไปร่วมงาน Nation Dinner Talk ในเย็นวันนี้ได้ และไม่สามารถไปพบปะ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติตามแผนเดิมได้ อย่างไรก็ตามผมก็ขอทำงานในสถานการณ์ที่ต้องกักตัวต่อไป และขอติดตามการบริหารสถานการณ์โควิดและการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของรัฐบาลต่อไป
 

ตัวผมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ติดตามการบริหารสถานการณ์โควิดมาโดยตลอด ขอใช้โอกาสนี้สื่อสารกับทุกท่านครับว่า ในบริบทการเปลี่ยนผ่านของโควิดจากโรคระบาดระดับโลก (Pandemic) เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) นั้นยังมี 2 ปัจจัยสำคัญที่เรายังจำเป็นต้องติดตามการทำงานของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราสามารถเปิดเศรษฐกิจได้อย่างสมดุลกับการรักษาความมั่นคงทางสาธารณสุขให้กับพี่น้องประชาชน

 

เรื่องแรก คือ ทรัพยากรสาธารณสุขครับ Bottom line คือ จำนวนผู้ป่วยหนักและผู้ใส่เครื่องช่วยหายใจ รัฐบาลเคยคาดการณ์ไว้ 2 ฉากทัศน์ว่า

 

1) ในฉากทัศน์ที่มีผู้ป่วยโควิดสูงที่สุด 4-5 หมื่นคนต่อวันในเดือนเมษายน จะมีผู้ใส่ท่อช่วยหายใจสะสมมากที่สุด 800 คนในเดือนพฤษภาคม

 

2) ในฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด จะมีผู้ป่วยโควิด 1 แสนคนต่อวันในเดือนเมษายน และจะมีผู้ใส่ท่อช่วยหายใจสะสมมากที่สุด 1,600 คน ซึ่งมากกว่าระลอกเดลตาที่ 1,100 คน สถานการณ์ในตอนนี้มีผู้ใส่ท่อช่วยหายใจ 644 คนแล้ว มีแนวโน้มที่รุนแรงมากกว่ากรณีแรกที่ 800 คน ไม่ว่ารัฐบาลจะคาดการณ์อย่างไร ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกรณีที่เลวร้ายที่สุด และผมขอทวงถามความคืบหน้าของการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์รองรับผู้ป่วยเหลือง-แดง อีกครั้ง เช่นเดียวกับที่ผมทวงถามไปแล้วในหลายโอกาส

 

เรื่องที่สอง คือวัคซีนสำหรับเด็ก การระบาดของโอมิครอนมีผลกระทบกับเด็กมากกว่าในระลอกที่ผ่านๆ มามาก และการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก 5-11 ปี ควรจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง แต่ จากข้อมูลล่าสุดในเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค มีการฉีดวัคซีนให้เด็ก 5-11 ปีแล้ว 1,889,766 เข็ม ใน 51 วัน เฉลี่ยวันละ 37,000 เข็ม สำหรับระบบสาธารณสุขไทยที่พิสูจน์มาแล้วว่าสามารถฉีดวัคซีนได้มากกว่าวันละ 1 ล้านเข็ม ก็ถือว่าภาครัฐยังมีศักยภาพที่จะบริหารจัดการเพื่อให้เด็กได้รับวัคซีนรวดเร็วกว่านี้ หากมีการจัดลำดับความสำคัญเสียใหม่

 

ท้ายที่สุดนี้ ผมขอให้ทุกท่านปลอดภัยและมีสุขภาพที่แข็งแรง ได้กลับไปพบปะกับครอบครัวและคนที่ท่านรักในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงครับ

 

#โควิด #โควิด19 #COVID19 #โอมิครอน #Omicron #วัคซีน #ก้าวไกล

logoline