"พิธา"หยันรัฐบาลดูน่าอยู่ไม่ถึงประชุมเอเปค

19 มีนาคม 2565 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีเรียกพรรคร่วมรัฐบาลร่วมงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล เป็นกระบวนการสร้างความมั่นใจของรัฐบาล แต่ประชาชนไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาล ช่วงที่ข้าวยากหมากแพง การที่รัฐบาลจัดงานกินเลี้ยงกันน่าจะเอาเวลาช่วยแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงมากกว่า การที่มีรูปและข่าวออกมา ไม่ได้ทำให้ปัญหาในประเทศนั้นหายไป และตนหวังว่าสาระสำคัญในการพูดคุยน่าจะมีประชาชนอยู่ในสถานการณ์นั้น ไม่ใช่เพียงการรวมเสียงรัฐบาลอย่างเดียว ปัญหาวันนี้ (19มี.ค.) คือ การพยายามรักษาเสียงให้ได้ แต่บริหารงานไม่ได้ ด้วยความที่รัฐธรรมนูญเก่าเป็นแบบนี้ ต้องมีพรรคร่วมรัฐบาลกว่า 20 พรรค ทำให้เสถียรภาพง่อนแง่นอยู่ตลอดเวลา

ส่วนร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย ประกาศชัดจะไม่สนับสนุนรัฐบาล 100% ซึ่งเรื่องนี้ต้องมองยาวๆ เนื่องจากมีส.ส.ในมือ 18 เสียง มีร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งมีการพูดคุยกับพรรคเล็ก อาจจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล และขณะเดียวกันมีความพยายามของร.อ.ธรรมนัส ที่มีออกมาระบุว่าไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐสาขา 2 เรื่องนี้จะต้องดูยาวๆ ว่ามีเอกภาพของตัวเองอย่างที่ตั้งใจหรือไม่ หรือจะกลายเป็นพรรคพลังประชารัฐสาขา 2 ยังเป็นสิ่งที่ฟันธงไม่ได้ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองยิ่งแปรปรวนมากขึ้น 

ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส ออกมาระบุว่า จะมีรัฐมนตรีบางคนระวังตัวในช่วงโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการประสานขอเข้าร่วมงานกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า ในส่วนของพรรคยังไม่มีการพูดคุยกัน รายการอภิปรายไม่ไว้วางใจน่าจะเกิดขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนจะเน้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม คนเดียวเลยหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่ตกผลึก ซึ่งจะต้องหารือกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป แต่จะต้องเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

"เปิดสภามาจนคิดว่าลากเลือดพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอภิปรายงบประมาณ หรือพรป.การเมือง  พรป.การเลือกตั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็น 4 ระเบิดทางการเมือง ที่รอเวลาประทุอยู่ รวมไปถึงสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  พร้อมกับระบุว่า ซึ่งในส่วนพรรคก้าวไกล พยายามควบคุมให้ส.ส. ในพรรคก้าวไกล อภิปรายได้ตามกรอบระยะเวลาและเป็นเอกภาพ" นายพิธา กล่าว

ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าจะยุบสภาภายหลังการประชุมเอเปค มองว่า พล.อ.ประวิตร คงมีความพยายามที่จะลากรัฐบาลให้ยาวที่สุด แต่การตัดสินใจคงไม่ใช่เรื่องของพล.อ.ประวิตร นายกรัฐมนตรีเป็นคนเดียวที่มีโอกาสตัดสินใจ ว่าจะยุบสภาหรือไม่ องคาพยพที่อยู่ด้านหลัง ไม่ได้มีเสถียรภาพมากนัก ไม่เช่นนั้นคงไม่ไปเยี่ยมป่ารอยต่อบ่อยๆ พร้อมกับมองว่า ยากที่รัฐบาลจะอยู่ถึงการประชุมเอเปค เพราะมีสิ่งแปรปรวนมาก ซึ่งเป็น การเมืองในสภาที่ยังไม่รวมการเมืองนอกสภา การแก้ไขปัญหาราคาสินค้า ปัญหาราคาน้ำมัน เพียงพอที่จะปะทุได้ทั้งหมด และการประชุมเอเปคที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย. การนำเรื่องนี้มาอ้างไม่เช่นนั้น ผู้นำประเทศ หรือประมุขของประเทศอื่นมาประเทศไทยแล้วไม่มีรัฐบาล อำนาจเต็มจะไม่สามารถต้อนรับได้ ตนมองว่าประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือหากไม่ให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็สามารถยุบสภาได้ก่อนเดือนพฤษภาคม

เมื่อถามย้ำว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะสามารถนำนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งได้หรือไม่ นายพิธา ระบุว่า ไม่ใช่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ มันเกิดขึ้นหลายครั้ง ทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เอานายกฯขึ้นเขียงทุกครั้ง ซึ่งเป็นการรักษาตัวเลขมากกว่าเนื้อหา ในการตอบคำถาม ถ้าฝ่ายค้านชกหมัดหนักไปเรื่อยๆ และเมื่อสร้างกระแสสังคมไม่ไหว หากส.ส.กดไว้วางใจครั้งหน้าประชาชนอาจไม่เลือกเข้ามาแล้ว ซึ่งเป็นไปตามระบบประชาธิปไตยที่มีการยึดโยงกับประชาชน

นอกจากนี้ คำแนะนำของนายกฯในการประหยัดพลังงาน โดยให้เปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียสคู่กับพัดลม หลักการดังกล่าวไม่ครบถ้วน ปัญหาพลังงานต้องดูทั้งอุปทานและอุปสงค์ การที่นายกรัฐมนตรีบอกให้เปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิ 27 องศาควบคู่กับพัดลม เป็นเรื่องการปรับการใช้อย่างเดียว แต่ในฝ่ายการผลิตต้องใช้งบประมาณในการอุดหนุน แหล่งงบประมาณในการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล อยากดูตัวเลขจะอยู่ได้เพียง 2-3 เดือนเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมงบประมาณในการอุดหนุน หากพยายามไม่อยากแก้ไขปัญหาเช่นนี้ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ต้องทำให้ระบบการขนส่งง่ายมากกว่านี้ รวมถึงการใช้ระบบ EV พลังงานทางเลือก ที่ทดแทนกันได้มาปรับใช้

ส่วนกรณีที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส. มหาสารคามพรรคเพื่อไทย ออกมาเสนอให้มีการกู้เงินเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหา โควิด -19 นายพิธามองว่า มีความจำเป็นต้องกู้แต่ไม่ต้องไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ เนื่องจาก 7 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า เงินมากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ พร้อมกับย้ำว่าตนนั้นไม่มีความเชื่อมือเชื่อถืออะไรรัฐบาลเลย