3 พฤศจิกายน 2564 ในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP26 หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า COP26 เป็นเวทีประชุมสุดยอดผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม ที่มารวมตัวกันเพื่อภารกิจกู้โลก
ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน สภาพอากาศที่สุดขั้ว เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก โดยอุณหภูมิของโลกสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
นำมาสู่การประชุมสุดยอดผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมในปี 2015 ที่ประเทศต่างๆ ได้ตกลงกันว่าต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จะจำกัดไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มมากกว่า 2 องศาเซลเซียส จากช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะพยายามไม่ให้อุณหภูมิของโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะทางสภาพภูมิอากาศ ข้อตกลงในครั้งนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" หรือ (Paris Agreement)
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ "อุณหภูมิของโลก" ยังไม่ได้ลดลงแม้เศษเสี้ยวองศาเซลเซียส แต่ยังกลับเพิ่มสูงขึ้นกว่าวันที่ผู้นำโลกได้ทำข้อตกลงกันที่ปารีส ว่าจะทำให้อุณหภูมิของโลกลดลง
ที่ผ่านมาประเทศต่างๆ มีความพยายามในการแก้ปัญหาเรื่องสภาพภูมิอากาศของโลก โดยมุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก
ทั้งที่ในรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ (IPCC) นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ประเทศต่างๆ จะต้อง "ลดการปล่อยก๊าซมีเทนอย่างเข้มแข็ง รวดเร็ว และยั่งยืน" นอกเหนือไปจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ก๊าซมีเทน เป็นก๊าซที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกรองลงมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ก๊าซมีเทนมีความสามารถในการกักเก็บความร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสลายตัวในชั้นบรรยากาศได้รวดเร็วกว่า ซึ่งหมายความว่า การลดปริมาณก๊าซมีเทนจะช่วยลดอุณหภูมิโลกได้เร็วที่สุด และส่งผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกได้เร็วที่สุดด้วย แต่มิได้หมายความว่า จะต้องลดก๊าซมีเทนเพียงอย่างเดียว
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเรียกร้องให้นานาประเทศ มุ่งเน้นไปที่การจัดการก๊าซมีเทน ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า "นี่จะเป็นแผนที่ดีที่สุดที่โลกจะทำได้ในตอนนี้เพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อนที่เลวร้ายลงทุกวัน"
ก่อนหน้านี้ที่มีรายงานจากสถาบัน American Meteorological Society ออกมาว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นถึงระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างน้อย 800,000 ปี โดยในปี 2018 สูงถึงระดับ 407.4 ppm (Parts Per Million) โดยเพิ่มขึ้น 2.4 ppm จากปี 2017
และเมื่อพิจารณาจากรายงานของ Global Carbon Project ของ Carbon Dioxide Information Analysis Center (CDIAC) ซึ่งนำตัวเลขปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2017 อันส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกในแต่ละประเทศมาจัดอันดับจะพบว่า อันดับหนึ่งที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด คือประเทศจีน คิดเป็น 27.2% จากจำนวนปริมาณก๊าซทั้งหมด 36,153 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ (MtCO2) รองลงมาคือสหรัฐอเมริกาและอินเดีย ซึ่งปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทั้ง 3 ประเทศปล่อยออกมานี้รวมกันถือเป็นครึ่งหนึ่งของปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดทั่วโลก โดยประเทศที่มีอันดับรองลงมาใน 5 อันดับแรกก็คือรัสเซียและญี่ปุ่น
หากเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรในแต่ละประเทศกับจำนวนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะพบว่า ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรคึอประเทศกาตาร์ รองลงลงมา คือประเทศ ตรินิแดดแอนด์โตเบโก ประเทศคูเวต ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน
หากพิจารณาจากข้อมูลทั้งสองชุดประกอบกันจะเห็นว่า มี 6 ประเทศ ที่ติดทั้งในกลุ่มประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุด และประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร นั่นก็คือ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา เกาหลีใต้ รัสเซีย และเยอรมนี
อ้างอิง