เมื่อช่วงต้นเดือน คาเธ่ย์ แปซิฟิก สายการบินหลักของฮ่องกง ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสายการบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ได้จุดกระแสความขัดแย้งด้วยการประกาศยุติสัญญาจ้างลูกเรือกลุ่มหนึ่ง ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และไม่มีหลักฐานมาแสดงว่าได้รับการยกเว้นทางการแพทย์ใดๆ
ซึ่งขัดแย้งกับรายงานของ สื่อดัง South China Morning Post ที่ว่า หนึ่งในจำนวนนี้เป็นพนักงานหญิงวัย 52 ปี ที่รอดชีวิตจากโรคมะเร็ง และมีใบรับรองแพทย์ที่ออกเมื่อเดือนกรกฎาคม ระบุว่าเธอไม่เหมาะที่จะฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ยังมีคนที่เป็นแม่ที่กำลังให้นมบุตร และคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
พนักงานวัย 52 ปี ที่ถูกปลดเปิดเผยว่า เธอเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมา 30 ปี ก่อนป่วยเป็นความดันโลหิตสูง, คลอเรสเตอรอลสูงและภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากการรักษามะเร็งไทรอยด์ แต่บริษัทระบุว่าประวัติการป่วยมะเร็งไม่ใช่เหตุผลอันสวมควรที่จะไม่รับวัคซีน และเธอควรจัดการเรื่องระดับความดันโลหิตกับคลอเรสเตอรอลได้ด้วยตัวเอง
ทั้งยัง ให้ไปเข้ารับการตรวจภูมิแม้เพื่อให้รับวัคซีนได้อีกด้วย แต่เธอปฏิเสธจึงถูกยกเลิกสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 8 กันยายน นอกจากเธอแล้ว ยังมีแม่ที่กำลังให้นมบุตรกับคนที่ปัญหาด้านหัวใจถูกเลิกจ้างเพราะไม่ฉีดวัคซีนด้วย
คาเธ่ย์แจ้งพนักงานเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ให้ฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ภายในวันที่ 31 สิงหาคม หรือแสดงใบรับรองแพทย์กรณีได้รับการยกเว้น และบริษัทก็ไม่ยอมเปิดเผยจำนวนพนักงานที่ถูกปลด โดยระบุเพียงว่านับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน คาเธ่ย์ แปซิฟิก ให้บริการโดยพนังงานที่ฉีดวัคซีนครบ
ด้านคณะกรรมการโอกาสที่เท่าเทียม (EOC) องค์กรอิสระที่รัฐบาลตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการเลือกปฏิบัติทางเพศ มาตรา 480 เตือนว่าแนวทางที่สายการบินปฏิบัติต่อลูกเรือ อาจอยู่ในเกณฑ์ของการเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความทุพพลภาพ ถ้าพนักงานรู้สึกว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติ เพราะไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ก็ให้ยื่นคำร้องต่อ EOC