กองทัพอินโดนีเซียเปิดเผยว่าแกนนำกองกำลังติดอาวุธที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มไอเอส ที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของอินโดนีเซีย ถูกสังหารเมื่อวันเสาร์ จากการยิงปะทะกับกองกำลังฝ่ายความมั่นคง ในการรณรงค์ปราบปรามการก่อการร้ายอย่างกว้างขวางต่อกลุ่มหัวรุนแรงในพื้นป่าบนภูเขาที่ห่างไกล
พลจัตวา ฟาริด มาครุฟ ผู้บัญชาการทหารระดับภูมิภาคของจังหวัดสุลาเวสีกลาง เปิดเผยว่านาย อาลี คาโลรา เป็นหนึ่งในสองของสมาชิกกลุ่มติดอาวุธที่ถูกสังหารในการจู่โจม ส่วนอีกคนชื่อ จากา รามาดาน
ทั้งสองถูกยิงเสียชีวิตเมื่อค่ำวันเสาร์ โดยกองกำลังผสมของทหารและตำรวจในเขตปาริกี มูตง ในจังหวัดสุลาเวสีกลาง โดยจุดนี้มีพรมแดนติดกับเขตโปโซ ซึ่งถือเป็นดงของกลุ่มหัวรุนแรงในจังหวัด และเจ้าหน้าที่กำลังค้นหาสมาชิกอีก 4 คนในกลุ่มนี้
การปะทะกันเกิดขึ้น 2 เดือนหลังจากกองกำลังความมั่นคงสังหารสมาชิก 2 คนของกลุ่มในระหว่างการบุกจู่โจมก่อนรุ่งสางในเขตเดียวกัน
กลุ่ม " มูจาฮิดีนตะวันออกของอินโดนีเซีย " ได้อ้างความรับผิดชอบในการสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวคริสต์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยมาแล้วหลายครั้ง และได้ให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อกลุ่มไอเอส ในปี 2557
การดำเนินการด้านความปลอดภัยในพื้นที่ได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในความพยายามจับสมาชิกของเครือข่ายโดยมุ่งเป้าไปที่นายอาลี คาโรลา ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ที่หลบเลี่ยงการจับกุมมานานกว่าทศวรรษ เขาขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่มต่อจากนายอาบู วาห์ดาห์ ซานโตโซ ซึ่งถูกกองกำลังความมั่นคงสังหารในปี 2559 และตั้งแต่นั้นมาแกนนำและสมาชิกของกลุ่มคนอื่นๆ อีกหลายสิบคนถูกสังหารหรือถูกจับกุม
ในเดือนพฤษภาคม พวกเขาสังหารชาวคริสต์ 4 คนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง โดยคนหนึ่งถูกตัดศีรษะด้วย การโจมตีดังกล่าวเป็นการแก้แค้นสำหรับการที่กลุ่มติดอาวุธ 2 คนถูกสังหารในเดือนมีนาคม ซึ่งในจำนวนนั้นก็รวมทั้งลูกชายของซานโตโซด้วย
เจ้าหน้าที่บอกว่าภูมิประเทศที่เข้าถึงยาก และความมืดได้ขัดขวางความพยายามในการอพยพร่างทั้งสองออกจากที่เกิดเหตุในหมู่บ้านอัสติน่าที่มีป่าทึบ โดยศพของนายคาโลร่าและพวก ถูกนำออกมาในวันอาทิตย์ เพื่อทำการตรวจสอบ และระบุตัวตนต่อไป
อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก ยังคงปราบปรามกลุ่มติดอาวุธอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เหตุระเบิดบนเกาะท่องเที่ยวของบาหลีในปี 2545 คร่าชีวิตผู้คนไป 202 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธที่เคยโจมตีชาวต่างชาติ ได้หันมาโจมตีแบบเล็ก ๆ และรุนแรงน้อยกว่า โดยมุ่งเป้าไปที่รัฐบาล ส่วนใหญ่เป็นตำรวจและกองกำลังต่อต้านการก่อการร้าย และกลุ่มติดอาวุธที่มองว่าเป็นคนนอกศาสนา โดยได้รับแรงบันดาลใจจากยุทธวิธีของกลุ่มไอเอสในต่างประเทศ