รัฐประหาร 19 กันยา 49 อาจเรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของ “นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี” ที่นอกจากจะโดนยึดอำนาจ ถูกดำเนินคดีต่าง ๆ จนเจ้าตัวต้องหลบหนีไม่สามารถเดินทางกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนได้อีกจนถึงปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านั้น แม้จะผ่านมากว่า 15 ปีแล้ว แต่รัฐประการ 19 กันยา ยังอาจเป็นวันที่ตามหลอกหลอน “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” หัวหน้าคณะรัฐประหารในขณะนั้น ที่ถูกตราหน้าว่า "ทำรัฐประหารเสียของ" จนต้องมีการทำการรัฐประหารซ้ำอีกครั้งในวันที่ 22 พ.ค. 57 โดยหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งเป็นคนเดียวกับนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน
ทั้งนี้เหล่า "กูรูทางการเมือง" ได้ให้ความเห็นที่หลากหลายในเรื่อง “การทำรัฐประหารเสียของ” แตกกันไป
ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ให้ความเห็นว่า
จะต้องแยกพิจารณาการทำรัฐประหารปี 2549 ออกจากการรัฐประหารปี 2557 เพราะปี 2549 รัฐประหารเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในขณะนั้น และไม่ได้หวงตำแหน่งหวงอำนาจเพราะอยู่เพียงแค่ 1 ปี 4 เดือน 7 วัน และเมื่อเห็นสถานการณ์เข้ารูปเข้ารอยมีรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็จัดเลือกตั้งใหม่
แต่หลังจากการเลือกตั้งไม่ได้ช่วยปัญหาการขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง แต่คนก็ไปเหมารวมว่าเป็นการรัฐประหารเสียของ อาจถูกส่วนหนึ่งคือไม่ได้แก้ปัญหาถึงที่สุด เพราะหากให้ทำงานถึงที่สุดก็ต้องอยู่นานกว่านั้น
ขณะเดียวกันมองว่าการรัฐประหารปี 57 เป็นการรัฐประหารที่เสียของจริง ๆ เสียเวลามาก มีอำนาจเหลือเฟือ มีเวลาแต่ไม่ทำอะไรที่บ้านเมืองดีขึ้น ตรงกันข้ามกับทำให้บ้านเมืองตกต่ำลงไปอีก
“ขอให้แยกแยะระหว่างการรัฐประหารปี 49 กับ การรัฐประหารปี 57 คนละเรื่องกันวิธีการคนละวิธีการถ้าไปเหมารวมพูดว่าการรัฐประหารเสียของพูดรวมกันหมดแล้วไปพูดโยง ปี49 มาถึง ปี57 เป็นการพูดที่ไม่จำแนกแยกแยะ เป็นการพูดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เป็นการพูดที่ปราศจากความรับผิดชอบ”
ด้าน ดร.โคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ตลอดระยะเวลา15 ปีเราเสียโอกาสมาก ฝ่ายยึดอำนาจอยากใช้อำนาจเต็มที่ พอใช้ไม่ได้เต็มที่ถึงเรียกว่าเสียของ
“ฝ่ายขนบมองว่ารัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทำเสียของ เพราะไปไม่สุดซอยและขอแก้ตัวใหม่ในวันที่ 22 พ.ค. 57 ซึ่งไปสุดซอยและยังจองพื้นที่อยู่ไม่คายของออกมาจนถึงทุกวันนี้ ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยก็เสียโอกาสในการพัฒนาประชาธิปไตยไปด้วยเช่นกัน”
ขณะที่ ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย ให้ความเห็นว่า การรัฐประหาร วันที่ 19 กันยายน 2549 ก็เพื่อระงับเหตุที่จะทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ถ้ามองว่านายทักษิณอยู่ต่อจะเกิดปัญหาได้ ก็เข้ามาระงับและอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งโดยไม่ได้มีการสืบทอดอำนาจ ไม่ได้สร้างความแตกแยกมากขึ้นเพราะเป็นความแตกแยกที่มีอยู่เดิมอยู่แล้ว
อีกทั้งยังได้รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เป็นการแก้ข้อบกพร่องของรับธรรมนูยปี 2540 แต่พอมาเทียบกับ คสช. ที่บอกว่าจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้งจะก่อให้เกิดความปรองดอง แต่กลับก่อให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นร้าวลึกที่ยิ่งไปกว่า 19 กันยา มากมายมหาศาลและไม่รู้ว่ากู่กลับอย่างไร
ไม่ใช่แค่ยึดอำนาจแต่สืบทอดอำนาจ ยังอาศัยกลไกทางการเมืองเพื่อที่จะเข้าเป็นนักการเมืองเสียเอง และยังมีความประสงค์ที่จะอยู่ยาวในฐานะเป็นนักการเมืองต่อไปอีก ดังนั้นคำว่าเสียของอาจเป็นสิ่งที่ คสช.มองว่าเสียของเพราะคณะยึดอำนาจไม่ยอมเป็นเอง
“คมช.ไม่ได้เสียของ รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้เสียของ แต่มาวันนี้ ผมว่าคสช.ทำของเสียไปหมดแล้ว ทั้งเรื่องปฏิวัติรัฐประหารก็ของเสีย รัฐธรรมนูญก็ของเสีย การบริหารราชการแผ่นดินก็ของเสีย และผมคิดว่าต่อไปบรรดาอดีตคสช.ทั้งหลายก็จะกลายเป็นของเสียตามไปด้วย”
ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กลับไม่ได้มองว่าการรับประหารทั้ง 19 กันยายน 2549 และ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นเรื่องที่เสียของ เพราะมองว่าการัฐประหารไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“มองว่าเลือกทางผิดรัฐประหารไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาและเราเชื่อว่าเป็นวิธีแก้ปัญหา ผิดตั้งแต่เลือกวิธีนี้แล้ว การที่มีคำพูดว่ารัฐประหารปี 49 เสียของเป็นเพียงความคิดของคนทำ แต่มีการพิสูจน์โดยการทำรัฐประหารปี 57 แล้วว่าไม่ใช่ แก้ปัญหาไม่ได้ ยังมีการแตกร้าวขัดแย้งกันอยู่มีเค้าว่าจะเกิดความรุนแรง"
"รัฐประหาร ปี 49 กับ ปี 57 ไม่แตกต่างกัน ในปี 49 ทำเสร็จภายใน 1 ปีคืนอำนาจจึงไม่ได้เกิดผลที่จะทำให้ในแง่ของความขัดแย้งหายไป แล้วพอมารัฐประหารอีกทีมันก็หนักกว่าเก่า”
เมื่อดูความเห็นจากเหล่ากูรูทางการเมืองแล้งคงไม่อาจฟันธงไปได้ทั้งหมดว่าการรัฐประหารเสียของหรือไม่ ใครทำให้เสียของกันแน่ ที่แน่ ๆในสถานการณ์ความขัดแย้งของการเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้ากลับไม่มีใครการันตีว่ารัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีกและจะไม่ทำให้เป็นการ “ทำที่เสียของ” อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อไป