
นอกจากนี้เขายังบอกด้วยว่า การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ประสบภัยใกล้เขื่อนซึ่งอยู่ในพื้นที่ยึดครองของรัสเซียไม่สามารถทำได้ และเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศให้ความช่วยเหลือ โดยเขาบอกว่า สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ อพยพประชาชน และเร่งจัดหาน้ำดื่มโดยด่วน และเตรียมแผนระยะยาวสำหรับชุมชนที่ต้องพึ่งพาน้ำจากอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน
ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตกรรมยูเครน ประเมินว่า การทำลายเขื่อนที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ อาจส่งผลให้พื้นที่อย่างน้อย 1.2 ล้านเอเคอร์ในภาคใต้ของยูเครนกลายเป็น “ทะเลทราย” ภายในปีหน้า โดยน้ำจากเขื่อนจะไม่สามารถเข้าสู่คลองชลประทาน 31 แห่งในภูมิภาคดนีโปร, เคอร์ซอน และซาปอริซเซีย
ส่วนสื่อรัสเซีย รายงานว่า มีประชาชนอย่างน้อย 100 คน ติดอยู่ในเมืองโนวา คาคอฟกา และสัตว์ป่าหลายพันตัวล้มตาย หลังเขื่อนแตก นายกเทศมนตรีเมืองโนวา คาคอฟกา ที่ได้รับแต่งตั้งจากรัสเซีย ระบุว่า มีมวลน้ำไหลทะลักออกจากเขื่อนมากกว่า 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และกำลังหาทางช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้างในพื้นที่น้ำท่วม นอกจากนี้ทางการท้องถิ่นที่แต่งตั้งโดยรัสเซีย ประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ส่วนที่รัสเซียยึดครองได้ในภูมิภาคเคอร์ซอน
ล่าสุดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ออกแถลงการณ์ระบุว่า การทำลายโรงไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟกาในเคอร์ซอนเป็นการกระทำป่าเถื่อนของยูเครน ที่นำไปสู่หายนะด้านสิ่งแวดล้อมและมนุษยธรรมครั้งใหญ่