นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ ของสเปน แถลงในวันจันทร์ (29 พฤษภาคม 2566) ประกาศว่า เขาตัดสินใจยุบสภาและกำหนดให้จัดเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 กรกฎาคม สืบเนื่องจากผลการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม
เขาบอกด้วยว่า “แม้การเลือกตั้งเมื่อวานเป็นเพียงระดับภูมิภาคและระดับเทศบาล แต่ทิศทางและสารที่สะท้อนออกมาจากผลคะแนนมีความหมายมากกว่านั้น ในฐานะนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคสังคมนิยม ผมจึงน้อมรับผลลัพธ์โดยตรง และคิดว่าจำเป็นต้องตอบสนอง และควรให้ประชาชนได้ตรวจสอบอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยของเรา”
ก่อนหน้านี้ซานเชซเคยพูดหลายครั้งว่า เขาต้องการอยู่ในตำแหน่งให้ครบวาระ และการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ใกล้กับเขาช่วงที่เขาจะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งประธานหมุนเวียนของสหภาพยุโรป นับจากเริ่มรับตำแหน่งในวันที่ 1 กรกฎาคมที่จะถึงนี้
แต่พรรคแรงงานสังคมนิยม (PSOE) ของซานเชซ และพรรคโปเดมอส พรรคร่วมรัฐบาลที่มีแนวคิดซ้ายจัด สูญเสียที่นั่งอย่างมากในการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อวันอาทิตย์ โดย PSOE คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งระดับแคว้นเพียง 3 แคว้นจากทั้งหมด 12 แคว้น ลดลงจากเดิมเคยครองอำนาจใน 10 แคว้น
ขณะที่พรรคประชาชน (PP) ซึ่งเป็นพรรคสายอนุรักษ์นิยมกระแสหลัก และพรรคว็อกซ์ ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด คว้าที่นั่งได้มากเกินคาด โดยพรรค PP กวาดชัยชนะใน 7 แคว้น
ทั้งสองพรรคนี้อาจโค่นล้มนายกรัฐมนตรีซานเชซและพรรค PSOE ได้ หากสามารถกวาดคะแนนเสียงได้แบบนี้ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาระดับประเทศ ขณะที่นายกรัฐมนตรีซานเชซดำรงตำแหน่งมานาน 5 ปี กำลังเผชิญความเบื่อหน่ายของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในช่วงที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง
ล่าสุดอัลเบอร์โต นูเนซ เฟฮู หัวหน้าพรรค PP แถลงขานรับการประกาศจัดเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม และขอให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเทคะแนนเสียงให้พรรคชนะด้วยเสียงข้างมากเด็ดขาด พร้อมทั้งบอกว่า ผลเลือกตั้งสะท้อนเสียงของชาวสเปน ที่ต้องการบอกถึงรัฐบาลว่า “พอแล้ว”