
5 พฤศจิกายน 2568 วันสุดท้ายในการเยือนฮังการีของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาสถาบันพระปกเกล้า และ รศ.ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า พร้อมคณะ ยังคงมีภารกิจสำคัญ นั่นก็คือการเข้าเยี่ยมคารวะและพบหารือข้อราชการกับ ดร.ทิบอร์ นาฟราชิช (Dr. Tibor Navracsics) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการปกครองสาธารณะและการพัฒนาภูมิภาคของฮังการี ณ ที่ทำการกระทรวง ในกรุงบูดาเปสต์ ช่วงเช้าของวันที่ 5 พฤศจิกายน ตามเวลาท้องถิ่น
สำหรับกระทรวงพัฒนาส่วนภูมิภาคของฮังการี แยกส่วนจากกระทรวงมหาดไทย แม้จะรับผิดชอบกิจการภายในเหมือนกัน แต่เน้นการพัฒนาท้องถิ่น และพื้นที่ส่วนภูมิภาคเป็นสำคัญ
ประธานวันนอร์ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างหารือกับ ดร.ทิบอร์ โดยได้แสดงความชื่นชมรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาส่วนภูมิภาค ซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือมาก่อนว่า มีประสบการณ์ด้านนี้เหมือนกับตน
พร้อมกันนี้ ประธานวันนอร์ ยังบอกว่า สนใจศึกษาเรื่องการกระจายอำนาจ และการบริหารท้องถิ่นของฮังการี ซึ่งส่วนตัวให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ขณะที่ประเทศไทยกำลังมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะมีประเด็นเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ด้วย จึงอยากได้รับประสบการณ์การพัฒนาท้องถิ่น และการกระจายอำนาจของฮังการี
โอกาสนี้ ประธานวันนอร์ ได้เสนอให้ฮังการีอนุญาตสิทธิพิเศษไม่ต้องตรวจลงตรา หรือ "ฟรีวีซ่า" 30 วัน ให้กับคนไทย เพราะรัฐบาลไทยก็ให้สิทธินี้กับพลเมืองฮังการีเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมาตนเข้าใจว่า อาจจะติดเงื่อนไข "วีซ่าเชงเก้น" ของสหภาพยุโรป แต่ขอการสนับสนุนจากฮังการีด้วย เพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยว และการลงทุนของทั้งสองประเทศอย่างมาก โดยตนจะพยายามผลักดันให้มีเที่ยวบินตรงระหว่างบูดาเปสต์กับกรุงเทพฯ ในโอกาสต่อไปด้วย
นายทิบอร์ กล่าวตอบว่า ฮังการีให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสหภาพยุโรป หรืออียูก็ให้ความสำคัญกับการเชื่อมความสัมพันธ์กับภูมิภาคนี้
แต่ฮังการีไม่สามารถทำอะไรอย่างโดดเดี่ยวได้ เพราะเป็นสมาชิกอียู แต่หากไทยต้องการสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นกับอียู การมาเยือนฮังการีถือว่ามาถูกที่แล้ว
ทั้งนี้ ฮังการีขอสนับสนุนการยกเว้นวีซ่าสำหรับการเข้ายุโรปให้กับคนไทย และพร้อมตอบรับการลงทุนจากไทย โดยจะช่วยเหลือและประสานงานกันทุกระดับผ่านกลไกทางการทูต โดยเฉพาะสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูดาเปสต์
นายทิบอร์ ยังเล่าด้วยว่า ผู้บริหารท้องถิ่นในเมือง ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของตน และเป็นบ้านเกิดของตนด้วย กำลังคุยกับนักลงทุนไทยจากภูเก็ต เชื่อว่าจะมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมต่อไป
เชื่อว่าการลงทุนร่วมกัน จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ และน่าจะพัฒนาไปถึงการมี “เมืองคู่แฝด” เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านต่างๆ ไปด้วยกัน
“เมืองของผมมีทะเลสาบซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของฮังการี คือ ทะเลสาบบาลาตอน (Balaton) จึงอยากได้ประสบการณ์ของนักธุรกิจไทยจากภูเก็ตมาช่วยเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยว”
ในตอนท้าย รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาระดับภูมิภาค รับปากกับประธานวันนอร์ว่า จะส่งข้อมูลด้านการบริหารท้องถิ่น และกระจายอำนาจให้กับไทย โดยฮังการีเพิ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญไปเมื่อปี 2011 และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น คือปี 2010-2014 ก็ได้ปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นครั้งใหญ่ ตอนนั้นตนดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบเรื่องการปฏิรูปท้องถิ่นโดยตรง จึงยินดีที่จะแบ่งปันประสบการณ์
ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สิ่งสำคัญคือเนื้อหาที่พัฒนาขึ้น โดยกระบวนการแก้ไข และการเปลี่ยนผ่านกฎหมายสูงสุดของประเทศ ฮังการีก็พร้อมแชร์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไทย รวมถึงการปรึกษา พูดคุย แลกเปลี่ยนในทุกระดับต่อไป