
20 กันยายน 2568 จาก 3 คำถามที่ถามกันเซ็งแซ่ เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง และ 3 พรรคการเมืองหลัก และเป็นคำถามที่พุ่งไปยังพรรคการเมือง 3 สี ใน “การเมืองสามก๊กแบบไทยๆ” นั่นก็คือ พรรคภูมิใจไทย สีน้ำเงิน พรรคประชาชน สีส้ม และ พรรคเพื่อไทย สีแดง เรามาดูกันต่อถึงกลยุทธ์ที่แต่ละพรรคจะหยิบมาใช้ในห้วง 4 เดือนนับจากนี้
- ตั้งรัฐบาล “มีเส้น” ความหมายอาจไม่ใช่แค่สถานการณ์ที่คนทั่วไปรู้สึกว่ามี “มือที่มองไม่เห็น” มาช่วยทำให้เกิดรัฐบาลชุดนี้เท่านั้น
แต่การ “มีเส้น” แปลว่า “ไม่ใช่เกาเหลา” หมายถึงทุกพวก ทุกฝ่าย ทุกเหล่า สามารถร่วมงานกันได้ นี่คือจุดเด่นของพรรคภูมิใจไทยที่ทำให้ประสบความสำเร็จทางการเมืองในยุคนี้
- ภูมิใจไทยจึงสร้างแรงดึงดูดกลุ่มก๊วนการเมืองได้มาก และจะเห็น สส.ต่างพรรค ไหลเข้าพรรคน้ำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ
- อีกด้านก็เร่งขายภาพ “รัฐบาลฟื้นเศรษฐกิจ” พร้อมแก้ปัญหาความมั่นคง โดยเฉพาะไทย-กัมพูชา
- มาตรการฟื้นเศรษฐกิจมีทั้งระยะสั้น เพื่อกระตุ้นการบริโภค ซึ่งจะเห็นผลเร็วมาก และเร็วที่สุด / กับโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ ที่จะทิ้่งเชื้อเอาไว้ นำไปหาเสียงให้เลือกภูมิใจไทยเข้ามาสานต่อ
- กูรูการเมืองเชื่อว่า รัฐบาลภูมิใจไทยจะอยู่ไม่เกิน 4 เดือน และหากเห็นท่าไม่ดี อาจจับจับหวะได้เปรียบ ยุบสภาก่อน 4 เดือนเสียด้วยซ้ำ
- ขะมักเขม้นเปิดทางแก้รัฐธรรมนูญให้เห็นผล
- เรื่องรัฐธรรมนูญเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน / จุดแข็งคือได้ใจฝ่ายประชาธิปไตย / ส่วนจุดอ่อนคือเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว เห็นผลช้า และเต็มไปด้วยความัดแย้ง
- บทบาทของพรรคประชาชนที่คนคาดหวัง คือ กดดัน “ก๊กน้ำเงิน” ให้มากที่สุด และทำตัวเป็น “ผู้คุมกฎ” ไม่ใช่ร่วมแหกกฎเสียอีก
- เรื่องแรกกี่ต้องเร่งตรวจสอบ “ก๊กน้ำเงิน” คือคุณสมบัติรัฐมนตรีบางคนที่เป็น “สายล่อฟ้า”
- ความท้าทายของพรรคประชาชนก็คือ หากต่อยไม่สุดหมัดในประเด็นฮั้ว สว. และ เขากระโดง จะโดนก๊กแดงตีกระหนาบ เสียคะแนนนิยมหนักขึ้นไปอีก
- ช่วงนี้พรรคเพื่อไทยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ขยายผลเขากระโดง และคดี ฮั้ว สว. ก็สามารถสร้างกระแสดิสเครดิต “ก๊กน้ำเงิน” ได้แล้ว
- อีกด้านหนึ่งก็เร่งกดดัน “ก๊กส้ม” ให้แสดงบทบาทตรวจสอบ ขณะเดียวกันก็ขยายประเด็น ”นั่งร้าน” ให้ฝังแน่นเป็นโลโก้ของพรรคประชาชน
- ขณะเดียวกันก็เดินเกมนิติสงคราม ”ยุบสองก๊ก”
- ส่วนการสยบปัญหาภายในพรรค ยังคงใช้ ”ชินวัตร“ ตรึงพรรคไม่ให้แตก