
20 สิงหาคม 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ (อดีต) ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และ (อดีต) ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เขียนบทความลงเฟสบุ๊ค เรื่อง ซีรี่ย์คลิปเสียง แพรทองธาร - ฮุนเซน เป็นตอนที่ 3 ตอนสุดท้าย เนชั่นทีวี เห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจชวนวิเคราะห์ จึงขอนำมาเสนอดังนี้
1) แพทองธารต่อสู้ว่า ฮุน เซน บันทึกคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์โดยตนไม่รู้ และไม่ได้รับความยินยอมจากตน จึงเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ ย่อมไม่อาจรับฟังได้
ผู้เขียนเห็นว่า ในคดีของศาลรัฐธรรมนูญ หากเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญอาจใช้ดุลพินิจไม่รับฟังพยานหลักฐานนั้นก็ได้ (พรป. วิ.รัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 58 วรรคสอง) โดยไม่มีข้อห้ามในการรับฟังอย่างในคดีอาญา (ป.วิ.อ. มาตรา 226/1) และไม่มีกฎหมายให้นำวิธีพิจารณาความอาญามาใช้กับการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญด้วย
อีกทั้งในคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประเภท เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติห้ามรับฟังไว้โดยเฉพาะ
ไม่ว่าการไต่สวนพยานหลักฐานนั้นจะมีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากขั้นตอน วิธีการ หรือกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ถ้าศาลได้ให้โอกาสแก่คู่กรณีในการนำสืบพยานหลักฐานหักล้างแล้ว ก็ให้ศาลรับฟังได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความจริงที่เกิดขึ้นในคดีนั้น (มาตรา 27 วรรคหนึ่ง)
ดังนั้น คลิปเสียงซึ่งแพทองธารรับว่าเป็นเสียงสนทนาของตนจริง จึงอยู่ในดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับฟังหรือไม่ก็ได้
2) แพทองธารต่อสู้ว่า ขณะนี้ สว. ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการเข้าสู่ตำแหน่ง สว. และการปฏิบัติหน้าที่เมื่อดำรงตำแหน่ง สว. แล้ว อาจถูกครอบงำทางการเมืองหรือถูกชี้นําโดยพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568. เมื่อมีพรรคการเมืองหนึ่งประกาศถอนตัวจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ สว. กลุ่มดังกล่าวก็เข้าชื่อขอให้ประธานวุฒิสภายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญทันที จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตน ทั้งที่ทราบหรือควรจะทราบดีว่า การตรวจสอบการกระทำที่เป็นนโยบายในทางระหว่างประเทศนั้น ควรถูกตรวจสอบโดยกลไกปกติของรัฐสภา
ผู้เขียนเห็นว่า การที่ สว. เข้าชื่อร้องต่อประธานวุฒิสภาว่า ความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และประธานวุฒิสภาส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เป็นการใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ (มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 และมาตรา 160 (4) และ (5)) ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ข้อต่อสู้ของแพทองธารข้อนี้น่าจะฟังไม่ขึ้น
3) แพทองธารต่อสู้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ตนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะเข้าทาง ฮุน เซน ที่สามารถกำหนดทิศทางการเมืองของประเทศไทยได้
ผู้เขียนเห็นว่า หากตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของไทย แพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งมีผลทำให้รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องสั่ง หากไม่สั่ง ศาลรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นผู้ละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเอง
เมื่อรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไป รัฐธรรมนูญได้บัญญัติกลไกให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าบริหารราชการแผ่นดินต่อเนื่องกันไป แม้อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม กรณีเช่นนี้ จะได้เป็นบทเรียนแก่พรรคการเมืองในการคัดกรองบุคคลมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และเป็นบทเรียนแก่ประชาชนที่จะพิจารณาตัดสินใจในการใช้สิทธิหย่อนบัตรเลือกตั้ง สส. ต่อไป
4) แพทองธารขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกเลิกมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตาม พรป. วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 71 ตามที่ผู้ร้องมีคําขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ตนหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
ผู้เขียนเห็นว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยนั้น เป็นการสั่งตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 82 วรรคสอง ไม่ใช่สั่งตาม พรป. วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 71 ตามที่แพทองธารกล่าวอ้าง
5) ในท้ายที่สุด ผู้เขียนเห็นว่า นอกจากปัญหาว่า แพทองธารขาดความซื่อสัตย์สุจริตอันเป็นที่ประจักษ์หรือไม่แล้ว ในส่วนปัญหาการฝ่าฝืนจริยธรรมนั้น ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะต้องพิจารณาว่า แพทองธารพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่
ส่วนผู้เขียนเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องของจิ้งจอกเฒ่ากับลูกแกะ ส่งผลให้ทำลายเกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรีไทย
เธอได้กระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนเป็นที่ดูแคลนของผู้คนทั้งภายในและระหว่างประเทศ