
12 มิถุนายน 2568 การประชุมกรรมการแพทยสภา เดิมเป็นการประชุมปกติที่ถูกกำหนดขึ้นเดือนละครั้ง ในวันพฤหัสบดี หากแต่การประชุมแพทยสภาในวันที่ 12 มิถุนายน กลับมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ
เนื่องจากมีวาระการพิจารณา การวีโต้ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ต่อมติกรรมการแพทยสภา ที่ลงโทษ นายแพทย์ ที่ทำการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ (มติเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568)
ย้อนกลับไปที่ มติกรรมการแพทยสภา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568
1.มติยกข้อกล่าวหาแพทย์ 1 คน
2.มติให้ลงโทษแพทย์ 3 คน โดยเป็นการว่ากล่าวตักเตือน 1 คน กรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน เนื่องจากให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
การประชุมแพทยสภาวันที่ 12 มิถุนายน จะเริ่มขึ้นประมาณเวลา 11.30น. มีการบรรจุระเบียบวาระการประชุม 100 กว่าวาระ แต่ในช่วงเริ่มต้นจะเป็นวาระเพื่อทราบ และวาระนี้เอง คือ การให้นายสมศักดิ์ ในฐานะสภานายกฯพิเศษแห่งแพทยสภา เข้ามาชี้แจงเหตุผลการวีโต้ มติแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ซึ่งนายสมศักดิ์ได้สิทธิ์ชี้แจง 15 นาที เนื่องจากวาระเพื่อทราบกำหนดไว้แล้ว 12.00 -12.15 น. จากนั้น กรรมการแพทยสภา จะเชิญ นายสมศักดิ์ ออกจากที่ประชุม
เมื่อนายสมศักดิ์ ออกจากที่ประชุม จึงเป็นไปได้ว่า กรรมการแพทยสภา จะได้นำวาระพิจารณา การวีโต้ขึ้นมาพิจารณาต่อเนื่องกันไปเลย โดยจะเปิดให้ กรรมการแพทยสภาอภิปรายแสดงความเห็น รายงานวีโต้ของนายสมศักดิ์ ก่อนลงมติ ซึ่งการลงมติต่อประเด็นการวีโต้นั้น จะต้องได้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ของกรรมการแพทยสภาทั้งหมด หรือราว 47 คน จากทั้งหมด 70 คน นั่นเอง
แนวโน้มการลงมติ
เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ที่แพทยสภาลงมติลงโทษแพทย์ รักษาทักษิณชั้น 14 จนกระทั่งนายสมศักดิ์ ได้ทำการวีโต้ ปรากฎความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน เกิดแรงกระเพื่อมในแวดวงการเมืองและวงการแพทย์ ทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์สะพัดถึงผู้มีอำนาจทางการเมืองพยายามวิ่งเต้นล็อบบี้ แพทยสภา พร้อมกับมีการปล่อยข่าวดิสเครดิต กรรมการแพทยสภาบางราย เพื่อให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมในการลงมติ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
แต่ในขณะเดียวกัน กระแสวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามล็อบบี้ หรือดิสเครดิต แพทยสภา กับกลายเป็นมูมเบอแรงสะท้อนกลับ ปลุกบรรดาแพทย์จากหลายสถาบัน รวมถึง ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และประชาชน ออกมาเคลื่อนไหวเข้าชื่อ ปกป้องสนับสนุนแพทยสภาในการทำหน้าที่ คงมติเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568
จากการตรวจสอบการลงมติในวันที่ 12 มิถุนายนนั้น ล่าสุดพบว่า กรรมการแพทยสภา มีทั้งสิ้น 70 คน แต่มีหนึ่งท่านที่ถูกมติลงโทษ จึงทำให้ที่ประชุมเหลือ 69 คน โดยมติต่อประเด็นการวีโต้นั้น จะต้องได้คะแนนเสียง 2 ใน 3 ของกรรมการแพทยสภาทั้งหมด หรือราว 47 คน
เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบ กรรมการแพทยสภา พบว่า มาจากการแต่งตั้ง 35 คน และเลือกตั้ง 35 คน
กรรมการแพทยสภา ในส่วนของการแต่งตั้ง ประกอบด้วย ในก.สาธารณสุข 3 คน/ เจ้ากรมแพทย์ 3 คน / ผอ. วพม. (พระมงกุฏ ) 1 คน /ตำรวจ 1 คน ( คือหมอที่ถูกลงโทษหักออกไม่เข้าประชุม) ฝั่งเลือกตั้ง ทำงานในกระทรวง 3 คน (จะมา 2 คน)
สถานการณ์ของกลุ่มนี้ อาจลาประชุมหรือส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม หรือใช้วิธีงดออกเสียง ซึ่งรวมแล้ว เสียงจะหายไปประมาณ +- 8 ถึง 12 เสียง ( แต่อาจมีบางคนเปลี่ยนใจ)
ขณะที่กลุ่มคณบดีแพทย์สถาบันต่างๆ 27 คน +1 (ผอ.วพม.) โดย 27 คน จากวงใน คณบดีแพทย์สถาบันต่างๆ ยืนยันเดินทางมาร่วมประชุม ความน่าสนใจของ 27 คน ถือเป็นกลุ่มรวมตัวแข็งแรงมากยากที่จะถูกล็อบบี้ เพราะอย่าลืมว่าหลายท่านเปรียบเป็นอาจารย์ใหญ่สอนจริยธรรมการแพทย์ ให้นักศึกษาแพทย์ทั่วประเทศ หากมีมติเป็นอย่างอื่นจะสอนนิสิตแพทย์ได้อย่างไร
นักวิเคราะห์ทางการเมือง และคนวงในสมาชิกแพทยสภา พิจารณา จากโครงสร้างและพฤติการณ์ กรรมการแพทยสภา จึงสรุปเป็นสมการ
กรรมการแพทยสภา 69 คน หักกลุ่มงดออก เสียง 12 (ประเมินสูง) คน = 57 คน
มติที่ประชุม ต้องใช้เสียง 2ใน 3 ของที่ประชุม คือ 47 คน
ฉะนั้นกรรมการแพทยสภา ยังมีเสียงเพียงพอ ในการยืนตามมติลงโทษเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ตามเดิม
อย่าลืมว่า มติเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม68 ซึ่ง ศ.ดร. นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภาคนที่หนึ่ง เคยออกมาแถลงสื่อมวลชนว่า "เป็นมติมากมากมาก" แม้ไม่ได้เปิดเผยตัวเลข แต่จากการสืบทราบภายหลังว่า มติลงโทษครั้งนั้นมีจำนวนเสียงถึง 49 คน
ตามข้อบังคับการประชุม ที่ระบุ การยืนตามมติเดิมของแพทยสภา ต้องใช้เสียง 2ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งคณะ หรือ 47 คนขึ้นไป
เมื่อสถานการณ์ ณ ขณะนี้ มีการพัฒนาขึ้นกลายเป็นการต่อสู้ยืนหลักการความถูก - ผิด การยึดหลักจริยธรรมทางการแพทย์ และการรักษาเกียรติภูมิของคนในวงการทางการแพทย์ กับ ผู้ที่ใช้อำนาจทางการเมืองเข้าโรมรัน
อาจเป็นไปได้ว่า การลงคะแนน จะมีมากกว่า 47 เสียง ขณะที่บรรดาแพทย์วงนอก แพทยสภา ยังประเมินว่า คะแนนน่าจะออกมา 3 ใน 3 หรือ เอกฉันท์มากมากมาก อีกครั้ง