
หากไล่เรียงตามไทม์ไลน์เริ่มจาก
1.ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท
ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวได้ข้อสรุปพร้อมทั้งมีการจำแนกตามกลุ่มงบประมาณ และจำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ซึ่งงบประมาณนี้เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2566 จำนวน 295,000 ล้านบาท หรือ 9.3%
อย่างไรก็ตาม สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดให้เหล่า สส. ได้พิจารณาวาระแรก หรือชั้นรับหลักการ ในวันที่ 3-4 ม.ค. 2567 ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ที่มี "ภูมิธรรม เวชยชัย" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน
ทว่า เรื่องนี้นับว่าล่าช้าจากเดิมอยู่พอสมควร เนื่องด้วยผลของการจัดตั้งรัฐบาลที่เสียเวลาไปกว่า 110 วัน ซึ่งฝ่ายค้าน อย่าง "ก้าวไกล" เตรียมรอจัดหนักจัดเต็ม เรียกว่า น้องๆ ศึกซักฟอก แม้รัฐบาลจะอ้างว่าเพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน โดยจริงๆ แล้ว ถ้าเร่งดำเนินการในสมัยประชุมที่ผ่านมา ก็ย่อมสามารถทำได้แต่กลับทอดเวลายืดเยื้อ
แม้รัฐบาลเร่งสปีดเดินเครื่องการพิจารณา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ทันท่วงที ทว่า ก้าวไกลเองหวังให้ยืดเวลาออกไป เพื่อขอเวลาศึกษาเอกสารร่างงบประมาณ หลังได้รับในเวลากระชั้นชิดเกินไป แต่ท้ายที่สุดก็ต้องลุ้นกันโดยเฉพาะในชั้น กมธ.วิสามัญ จะมีการปรับลดงบประมาณลงแค่ไหนอย่างไร ยิ่งโดยเฉพาะในส่วนของกองทัพที่ถูกกระหน่ำมาตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ก่อนเข้าสู่ช่วงวาระที่ 2 ในการให้สมาชิกอภิปรายกันอย่างดุเดือด
2.ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกฎหมายสำคัญเพื่อใช้ดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ของทางรัฐบาล ในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ล่าสุดกฎหมายนี้ได้ถึงมือคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบรอ และรอการตีความว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยคาดการณ์กันว่าจะได้คำตอบช่วงเดือน ม.ค.
ทว่า ฝ่ายค้านอย่างก้าวไกล ซึ่งมี "ศิริกัญญา ตันสกุล" รองหัวหน้าพรรค ในฐานะหัวหอกเรื่องนี้ มองว่ากฎหมายฉบับดังกล่าว ยังไม่อยู่ในภาวะจำเป็นเร่งด่วน เพราะหากออกไม่ทันตามที่รัฐบาลได้ให้สัญญาประชาคมไว้ ว่าจะประชาชนจะสามารถใช้ได้ในช่วงเดือน พ.ค. 2567 แล้วจะมาขยับในส่วนของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ย่อมเป็นไปได้ยาก หรือหากไปแตะในส่วนงบกลาง ที่มีการจัดสรรไว้อย่างไม่เพียงพอ รวมไปถึงยังมีอีกหลายโครงการที่ต้องใช้งบประมาณจากงบกลาง ยิ่งทำให้ความหวังสำหรับประเทศและประชาชนลดน้อยลง
แม้กระทั่งพ่อมดทางกฎหมาย อย่าง "วิษณุ เครืองาม" กรรมการกฤษฎีกา และอดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาล "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ยังของดให้ความเห็นหากไม่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร นายกฯจะต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือไม่นั้น เพราะหากไม่ผ่านในวาระแรก ก็เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล คือ ยุบสภาหรือลาออก เพราะถือว่าไม่ไว้ใจรัฐบาล ซึ่งตามธรรมเนียมเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ถือว่ากฎหมายบังคับ
3.การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ก็ต้องบอกว่าโอกาสมีเกิดขึ้นให้เห็น เพราะมีข่าวแว่วมาจากแวดวง ครม. ว่าจะมีการปรับเพื่อปิดทางให้ทายาทสายตรงคนชั้น 14 อย่าง "อุ๊งอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร" ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เข้ามามีบทบาท หลังได้แสดงฝีมือเกี่ยวกับเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ โดยเดินคู่ขนานไปกับ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ
และความเป็นไปได้นั้น ก็ต้องไม่ลืมเพราะเก้าอี้รัฐมนตรี ยังว่างอยู่อีก 2 ตำแหน่ง ในโควตาของเพื่อไทย ที่มีชื่อ "พิชิต ชื่นบาน" กับ "ไผ่ ลิกค์" ของพลังประชารัฐ จะได้เข้านั่งเก้าอี้เสนาบดี ทว่า ติดเงื่อนไขบางประการ จนไม่สามารถได้รับการแต่งตั้ง ในครม.เศรษฐา1
ขณะเดียวกัน โอกาสในการปรับ ครม. ที่บอกว่าเป็นไปได้นั้น เพราะต้องไม่ลืมอีกอย่าง คือ สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ก็จะหมดวาระช่วงกลางปีพอดิบพอดี และเมื่อไม่มี สว. นับเป็นตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะกับการโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งเห็นได้ชัดกับการโหวตรอบที่ผ่านมา ดังนั้น จากนี้ทิศทางการเมืองจึงอยู่ในมือนักการเมือง
4.การอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ปีนี้จะเริ่มได้เห็นการเดินเครื่องของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะกับการเปิดศึกซักฟอกรัฐบาลหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามกลไกนิติบัญญัติ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งการตรวจสอบรัฐบาลนั้น ก็สามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่
โดยข้อ 2 และ 3 นั้น สามารถทำได้ปีละครั้ง ซึ่งหลังจากเปิดปีใหม่มา รัฐบาลต้องเตรียมเผชิญโดยเฉพาะกับสมัยประชุมปี 2567 ที่ฝ่ายค้านจะใช้กลยุทธ์ดังกล่าวอย่างเข้มข้น
ทั้งหมดคือสถานการณ์การเมืองเรื่องร้อนๆ ที่รัฐบาลต้องเผชิญกับปีงูใหญ่ ทั้งกฎหมายรวมถึงการตรวจสอบจากฝ่ายค้าน ที่จะเริ่มได้เห็นกันตั้งแต่ต้นปี 2567