ยามนี้ต้องจับตาการขยับของ "คนแดนไกล"ที่มีผลพันผูกมายัง " พรรคเพื่อไทย " จะเดินเกมอย่างไร หลังจาก"พรรคเพื่อไทย"มีสองแนวความคิด ต่อการเดินเกมในสภา จะไปต่อหรือพอแค่นี้กับ"ก้าวไกล"
แม้จะมี"ขุนพลหลายหน้า" ออกมาแถลง ทำนองสร้างความมั่นใจ สนับสนุน"ก้าวไกล" ตั้งรัฐบาลให้สำเร็จก็ตาม แต่อย่าลืมว่า "การเมืองไทยไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร" อะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งผลการเลือกตั้ง คะแนนของ "พรรคก้าวไกล" และ "พรรคเพื่อไทย" ห่างกันแค่สิบที่นั่ง ไม่ได้มีพรรคใดพรรคหนึ่งชนะแบบแลนด์สไลด์
แม้ "ก้าวไกล" ประกาศชัยชนะด้วยการเอ่ยอ้างทุกเวที นี่คือ "ฉันทามติ" นี่คือเสียงสวรรค์ที่ทำให้"ก้าวไกล" ได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม หากแต่ความรู้สึกของพรรคลำดับที่สอง รวมถึงพรรคร่วมอื่นๆพยายามนิ่งในที่ตั้ง รักษามารยาททางการเมือง เปิดโอกาสให้ " ก้าวไกล" เดินลุยถั่วได้ชัยชนะในสภาก่อน ถึงตรงนั้นจะเป็นเครื่องการันตีความปลอดภัย นี่คือเสียงข้างมาก นี่คือ"ฉันทามติ"ของแท้
สภาพการณ์ตอนนี้ "เพื่อไทย"โดนพายุสีส้มโอบล้อมไว้แทบทุกมุม และจะหาวิธีฝ่ามรสุมนี้ได้เช่นใด "กลุ่มแรก" เสนอเปิดเกมแบบใครอยู่ใครไป แต่"กลุ่มที่สอง" เสนอให้เปลี่ยนกลยุทธ์-อย่าฝืนกระแส เน้นการยกเครื่องทั้งระบบ
จึงต้องวัดใจ "คนแดนไกล" จะมอบดาบอาญาสิทธิ์ให้กลุ่มใดครอบครอง ในการให้ "เพื่อไทย"กลับคืนอันดับหนึ่งของยุทธจักรการเมืองไทยเร็วที่สุด
จับจังหวะ"พรรคก้าวไกล" ยืนยันนอนยัน "เก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ" และ"ประมุขฝ่ายบริหาร" ต้องอยู่ในอาณัติของ"พรรคสีส้ม" ขณะที่ "พรรคเพื่อไทย"ประกาศขอเก้าอี้"ประธานสภาผู้แทนราษฎร" ไว้เป็นชั้นต้น ก่อนที่จะเจรจาในวาระอื่นๆ
เมื่อสองพรรคต่างยืนกราน ทำให้มีแนวโน้ม"วงแตก" แล้วใครคือผู้รับความเสี่ยงและความเสียหายบนถนนการเมืองมากกว่ากัน
ข้อมูลจาก"กกต."เกี่ยวกับตัวเลข ส.ส. และคะแนนมหาชนที่เกี่ยวพันกับจังหวะของสองพรรคใหญ่ ปรากฏว่า
• "พรรคก้าวไกล" มี ส.ส.เขต 112 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 39 คน (จากคะแนนมหาชน 14,438,851 เสียง) ได้ ส.ส. รวม 151 คน
• "พรรคเพื่อไทย" มี ส.ส.เขต 112 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 29 คน (จากคะแนนมหาชน 10,962,522 เสียง) ได้ ส.ส. รวม 141 คน
แน่นอนว่า ตามครรลองระบอบประชาธิปไตย การเลือกประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ จะเป็นบันไดขั้นแรกก่อนการลงมติเลือกสร.1 และธรรมเนียมปฏิบัติส่วนใหญ่บนเวทีการเมืองไทย "พรรคอันดับหนึ่ง"จะครองเก้าอี้"นายกรัฐมนตรี" และ"ประธานสภาผู้แทนฯ" เว้นแต่เหตุปัจจัยซึ่งหน้าของเกมการเมืองในบางยุคที่ส่งผลให้เก้าอี้หลักแห่งย่านเกียกกายต้องผ่องถ่ายให้พรรคอื่น
เหตุปัจจัยนี้ "เพื่อไทย" นำมาใช้ต่อรองจนเป็นรอยแยกที่สองพรรคโต้แย้งผ่านสื่อมวลชน สังคมออนไลน์ รวมถึงการขยับของกองเชียร์จากพรรคอันดับหนึ่งกับพรรคอันดับสองในตอนนี้ รูปเกมคล้ายว่า "ยังไม่มีใครยอมใคร" เนื่องจาก"พรรคสีส้ม"ยืนยันขอเก้าอี้"ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ"ไว้ดูแลเอง
แต่การแสดงจุดยืนของ"พรรคสีแดง"ที่แสดงความต้องการขอตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า ควรอยู่ในโควต้าของ"เพื่อไทย"บนหลากเหตุผล (พูดง่ายๆ พท.โต้แย้งว่า "พรรรสีส้ม" ควรเกลี่ยเก้าอี้ตัวนี้ให้"เพื่อไทย"เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะ )
กว่าวาระนี้จะคืบไปถึงเวลาต่อรอง (วันที่ 30 พฤษภาคม 2566 พรรคสีส้มกับพรรคสีแดงจะนัดคุยกันที่พรรคสีน้ำตาล(สีหลักของพรรคประชาชาติ ) เพื่อหารันเวย์คำตอบในเรื่องนี้ให้ยุติ
สืบทราบว่า การขยับหลังบ้านของ"คีย์แมน" สองพรรคน่าจะถกกันหนักก่อนที่จะไปเจรจาความเมืองให้ยุติ หากมีการยินยอมหรือไม่ยินยอม ผลลัพธ์ทางการเมืองจะแตกต่างกันในวาระอื่นๆที่จะตามมา
เบื้องต้น "พรรคสีส้ม" มองว่า"เพื่อไทย" เล่นเกมซ้อนเกม ไม่มีความจริงใจกับกระแสข่าวลอยลมที่สะพัดมาเนืองๆ แม้คีย์แมน"เพื่อไทย" ยืนยันว่าไม่มีการเล่นตุกติก แต่อย่าลืมว่าการเมืองคือการเมืองที่มีกลยุทธ์หลากวิธีในการเข้าถึงอำนาจ
ความจริงอีกชั้นหนึ่ง คือ คนวงใน" เพื่อไทย" มีเครดิตและสายสัมพันธ์ทางการเมืองหลากแขนงในการ "วางแผนสอง" ไว้รับมือเหตุพลิกผันมากกว่า"พลพรรคสีส้ม"
สภาพที่เห็นและเป็นอยู่ "พรรคสีส้ม" ลุ้นเหนื่อยกับการเดินเข้าสู่"เก้าอี้แห่งอำนาจ" แม้จะมีสิทธิตามครรลองประชาธิปไตย อย่าลืมว่า "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรค ต้องลุ้นกับคดีถือหุ้นสื่อ จะโดนเชือดหรือไม่ในวันใด รวมถึงของแถมจากคดีความต่างๆ อีกทั้งลีลาของกองเชียร์มกองหนุน,สมาชิกพรรคสีส้มในวันวานจนวันนี้ที่อาจจะปะทุได้เสมอ, การขยับนโยบายต่างๆของพรรคก้าวไกลที่หาเสียงไว้กับ 14 ล้านเสียงเศษให้บรรลุ
เฉพาะวาระร้อนที่มีความหมิ่นเหม่ต่อสถาบัน ,การแสวงหา 64 เสียงจากสภาสูงที่จะมาเติมให้ 312 เสียงให้บรรลุ 376 เสียงของสมาชิกรัฐสภาในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 โดย "พรรคสีส้ม" ยืนยันแล้วว่าจะไม่ขอแต้ม ส.ส.188 เสียงจากขั้วรัฐบาลเดิม แต่พิจารณาแล้ว จำนวนส.ว.ที่จะมาเติมฝันให้พรรคสีส้ม ยากยิ่งกว่าการแสวงหาขั้นแรกของบันไดแห่งสวรรค์
อุปสรรคเหล่านี้ ใครต่อใครย่อมมองออกว่า เส้นทางแห่งอำนาจมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เส้นทางของพรรคก้าวไกล ไม่ได้วิ่งผ่านทุ่งลาเวนเดอร์อย่างที่ฝันกัน
เกมแห่งอำนาจรอบนี้ หลายฝ่ายมองว่า "พรรคสีส้ม"ติดกับดักตัวเอง ยากที่จะสลัดออกได้ทันท่วงทีในเวลาอันใกล้
ยิ่งประจักษ์ชัดกับสภาพ"การเมืองหลังฉาก" พบว่า คีย์แมนชุดปัจจุบันของ"พรรคเพื่อไทย" ไม่แฮปปี้กับบทพระรอง ทำให้ใครบางคนในพรรคสีแดงกำลังขยับ"ดีลบางอย่างไว้แต่เนิ่นๆ"
หากวันข้างหน้า"พรรคสีแดง"ต้องรับธงในการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแทน"พรรคสีส้ม" ซึ่งมีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะเกิดขึ้น (อ่านจากจังหวะพรรคขั้ว"ลุงตู่" เดิมที่ยังมิขยับใดๆ บวกกับส.ว.คนอื่นๆที่ยังไม่ประกาศว่า เห็นชอบ,ไม่เห็นชอบ,งดออกเสียงให้กับ"พิธา" โดยรอลุ้นการรับรองสถานะและวินิจฉัยคุณสมบัติส.ส.จากกกต.)
ประการหนึ่ง ต้องยอมรับว่า ชั้นเชิงคีย์แมนพรรคสีส้มผ่านร้อนผ่านหนาวน้อยกว่าขุนพล(ตัวจริง)พรรคสีแดงที่เคยคว้าชัยบนสนามเลือกตั้งห้าสมัยซ้อน อีกทั้งยังผ่านการถูกยึดอำนาจมาถึงสองครั้ง
แม้คราวนี้"เพื่อไทย"ต้องรับบทพระรอง แต่คนแดนไกล ไม่พอใจกับตัวเลข 141 ส.ส.ในตอนนี้ (ทราบว่าตัวเลขที่แกนนำพท.วางไว้คือสูงสุดคือ 280 ส.ส. ต่ำสุด คือ 200 - 220 ส.ส.) จึงต้องหาจังหวะในการคืนขันหมาก ด้วยเหตุจากเงื่อนไขและจังหวะการเมืองที่พรรคสีส้มวางไว้ "ยากยิ่งที่หลายฝ่ายจะรับได้"
ดังนั้นการต่อรองเก้าอี้"ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ" ระหว่างพรรคสีส้มกับพรรคสีแดง และอาจเกี่ยวเนื่องกับโควต้าครม.ในกระทรวงหลักๆส่อแวววงแตก
แกนนำบางคนในพรรคสีแดง เปิดปมไว้ว่า หากไม่สามารถหาข้อยุติ ก็ให้ไปฟรีโหวตในสภา ฉะนั้นหลับตานึกภาพตามมาได้เลย เมื่อปล่อยสถานการณ์เดินไปถึงจุดนั้น ย่อมมีความเดือดปะทุขึ้นอีกครั้ง และจะเป็นการบีบให้"พรรคสีส้ม"เดียวดายกลางสายลม
แว่วมาจากอาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ว่า คนวงใน"เพื่อไทย" มีแนวคิดแยกเป็นสองชุดคือ "วงแรก" ประกอบด้วยบุคคลที่ใกล้ชิดคนแดนไกลที่มีบทบาทวางจังหวะขยับของพรรคมายาวนานและเดินหมากตามไกด์ไลน์ที่คนแดนไกลส่งรหัสมาให้
"ด้วยท่วงทำนองหาก"เพื่อไทย" จับมือไปกับ"พรรคสีส้ม" จะโดนพรรคสีส้มขี่คอทุกเรื่องในช่วงลงเรือลำเดียวกัน อาจโดนหางเลขไปแบบไม่รู้ตัว หากต้องไปล่มหัวจมท้ายกับพรรคก้าวไกลกับหลากกรณี รวมทั้งแนวทางในใจที่คนแดนไกลวางหมากไว้จะไม่สมหวังเป็นแน่"
มองกันแบบทะลุว่า ยามนี้คนวงในวงแรกของ"เพื่อไทย" กำลังหารันเวย์เพื่อคืนขันหมากกลับไปให้ว่าที่เจ้าบ่าวชุดสีส้มแบบที่สังคมตำหนิน้อยที่สุด แต่"เพื่อไทย"ต้องได้ประโยชน์ในการเดินหมากการเมืองมากที่สุดและมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการจับใส่ตะกร้าล้างน้ำเพื่อรอว่าที่เนื้อคู่คนใหม่เพราะหาก"เพื่อไทย"สลัดจาก"พรรคสีส้ม"ไปได้ "เพื่อไทย"จะยืนแท่นพรรคที่มีความชอบธรรมในการตั้งรัฐบาลใหม่มากที่สุด เงื่อนไขต่างๆที่เคยหาเสียงไว้ว่าจับมือ,ไม่จับมือกับพรรคใดบ้างนั้น
สถานการณ์การเมืองในยามหน้า จะเป็นการอธิบายความด้วยตัวมันเองประวัติศาสตร์การพลิกขั้ว,จับมือทางการเมืองแบบล็อกถล่มเคยปรากฏตามบันทึกการเมืองของไทย(รวมทั้งพท.มีโอกาสช้อนส.ส.พรรคก้าวไกลที่มี 151 ส.ส.มาร่วมงานด้วยมากที่สุด หากพรรคสีส้มต้องโดนยุบพรรคจากกรณีของ"พิธา")
ดังนั้นการตัดต้นส้มข่มขวัญ ต้องดำเนินการวันนี้ ในทุกกรณี ปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ได้ มิเช่นนั้นดอกส้มจะกระจายไปทั่ว 77 จังหวัดกลืนกินสีแดงในอนาคต
๐๐๐๐๐๐๐๐
"วงในวงที่สอง"ของ"เพื่อไทย" นั่นคือ แกนนำรุ่นใหม่ ประกอบด้วย บุตรทั้งสามของคนแดนไกลรวมทั้งนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่เป็นเสียงส่วนน้อยในพรรค บวกกับเลือดใหม่(เศรษฐา ทวีสิน) มองว่า "เพื่อไทย"ยามนี้ต้องยกเครื่องพรรคใหม่ทั้งระบบและขออำนาจเต็มในการทำงานครั้งนี้จากคนวงในวงแรก รวมทั้งขอให้คนแดนไกลเพลาๆบทบาทไปสักระยะ เพื่อให้คนวงในวงที่สองวางแนวทางการทำงานในสี่ปีข้างหน้าไว้แบบบูรณาการเพื่อรองรับการปะทะกับพรรคสีส้มในคราวต่อไป
เนื่องจากคู่ต่อกรในสนาม คือ"พรรคสีส้ม" หากวันนี้"เพื่อไทย"เล่นเกมการเมืองแบบฝืนกระแสสังคม การโดนบูลลี่จะเกิดขึ้นตลอดอายุรัฐบาลใหม่ บานปลายถึงการเลือกตั้งงวดหน้า
"วงที่สอง"นี้ มองว่าหากถึงวันนั้น"เพื่อไทย" มีโอกาสแพ้ "พรรคสีส้ม"มากที่สุด ดังนั้นภารกิจของ"ชินวัตรแฟมิลี่รุ่นสี่" (พานทองแท้/ พิณทองทา/ แพทองธาร ชินวัตร) ต้องชูไว้ว่า ภาวะการนำทัพในวันนี้เป็นต้นไป ขอให้อยู่ในอาณัติของ"หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย" ขอให้เดินตามกติกาอย่าฝืนกระแส ต้องเร่งปั้นผลงานจากการร่วมครม.ออกมาให้โดนใจแฟนคลับและเปิดรับสมัครสมาชิกครบครัวเพื่อไทยเพิ่มเติมในทุกมิติ ไม่เช่นนั้น วันข้างหน้าจะเดินงานลำบาก
ไม่กี่นาทีข้างหน้า ขอให้จับอาการของคนวงในทั้งสองชุดจากอาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ว่า จะใครจะยิ้ม ใครจะอารมณ์บูด หากจับจังหวะนั้นได้ก็จะอ่านหมากในกระดานถัดไประหว่างพรรคสีแดงกับพรรคสีส้มได้สะดวกรวมทั้งอ่านกลเกมการเมืองในภาวะถัดไปได้ไม่ยาก