
อนาคตทางการเมืองของ “พรรคก้าวไกล” โดยเฉพาะเส้นทางสู่ทำเนียบรัฐบาล ประเมินถึงนาทีนี้ต้องบอกว่า “ลูกผีลูกคน” จริงๆ เดายากว่า "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" จะเป็น “นายกฯ คนที่ 30” หรือ “ผู้นำฝ่ายค้านคนใหม่” กันแน่
ตั้งแต่เกิด “ศึกชิงเก้าอี้ประธานสภา” มา 2-3 วัน ล่าสุด ว่าที่นายกฯ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาโพสต์และให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก สรุปความได้แบบนี้
ถอดรหัสจากท่าทีว่าที่นายกฯ “พิธา” ก็คือ
1. "ก้าวไกล" ยังคงจองเก้าอี้ “ประธานสภา” แม้จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ไม่ได้ยอมถอย
2. เปลี่ยนเวทีการพูดคุย ไม่ปล่อยให้พูดในที่สาธารณะ เพราะน่าจะเสียเปรียบ หรือสร้างภาพลบกับภาพลักษณ์ของ “ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล” (ถ้าสองพรรคใหญ่ทะเลาะกันบานปลาย เมื่อถึงจุดหนึ่งจะกลายเป็นความชอบธรรมให้ “พรรคเพื่อไทย” จัดรัฐบาลแข่งได้)
3. หลีกเลี่ยงที่จะใช้การโหวตตัดสิน อาจกลัวเสียงพลิก เพราะเสียง ส.ส.ก้าวไกล กับเพื่อไทย ห่างกันแค่ 10 เสียง
"จุดยืน" ไม่ยอมถอยของพรรคก้าวไกล มีการเดินเกมทั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี
หนึ่ง : ยุทธศาสตร์ : ใช้มวลชนล้อม “เพื่อไทย” ล้อม “กกต.” ล้อม “องค์กรอิสระ” และล้อมฝ่ายที่สกัดหรือเตะตัดขาพรรคก้าวไกล
ยุทธวิธี : เดินสายพบปะมวลชนอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ว่าที่นายกฯ “พิธา” ไปเองไม่ได้ ก็ส่งแกนนำเดินสาย เช่น สัปดาห์ที่ผ่านมา “รังสิมันต์ โรม” ก็ไปภูเก็ต เลือกลงพื้นที่ที่ตัวเองชนะยกจังหวัด – หวังช่วงชิงความชอบธรรมว่า พรรคตนได้คะแนนนิยมเหนือคู่แข่งจริงๆ
สอง : ยุทธศาสตร์ : ใช้ภาคเอกชน กลุ่มผลประโยชน์ช่วยกดดัน
ยุทธวิธี : เดินสายพบสภาอุตสาหกรรม / กลุ่มสุราพื้นบ้าน คราฟท์เบียร์ / ผู้นำแรงงาน เพื่อตอกย้ำนโยบายหาเสียงของพรรค ซึ่งเป็นประโยชน์กับภาคเอกชนเหล่านี้ ว่าถ้าได้เข้าไปมีอำนาจ จะผลักดันนำไปปฏิบัติให้ได้ ทั้งออกกฎหมาย แก้กฎหมาย เพื่อนำไปสู่รูปธรรม
สาม : ยุทธศาสตร์ : ใช้ความฝันสวยงามจากนโยบาย สร้างแรงกดดันให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย ทั้งเก้าอี้นายกฯและเก้าอี้ประธานสภาฯ
ยุทธวิธี : กรณีเก้าอี้ "ประธานสภาฯ" ก็อ้างว่าต้องเป็นคนของ "ก้าวไกล" เพื่อผลักดันการแก้ไขกฎหมาย 45 ฉบับที่เป็นวาระเร่งด่วน นำไปสู่การปฏิรูปด้านต่างๆ ที่พรรคก้าวไกลหาเสียงไว้ เช่น ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือแม้แต่เรื่องใกล้ตัวอย่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด
กรณีเก้าอี้นายกฯ ก็อ้างว่าถ้าได้เป็นนายกฯ จะผลักดันเรื่องเหล่านี้ผ่านกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้อง ให้เห็นผลเร็วขึ้นไปอีก
สี่ : ยุทธศาสตร์ : ผูกขาพรรคร่วมรัฐบาล
ยุทธวิธี : มอบหมายให้บางพรรคเริ่มไปจัดทำนโยบายของรัฐบาล เปิดกว้างให้ใส่วาระของพรรคตัวเองลงไปได้เต็มที่ (เช่น พรรคประชาชาติ พรรคเป็นธรรม ได้รับโจทย์มาแล้ว)
นัดหารือผู้แทน 8 ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลสัปดาห์หน้า เพื่อหารือแบ่งกระทรวง อาจมีการเสนอกระทรวงสำคัญ เกรด A ให้บางพรรค เพื่อซื้อใจไว้ ไม่ให้ถูกดึงเปลี่ยนฝั่ง กรณีมีจุดพลิกผันทางการเมือง
แผนสกัด “ก้าวไกล” ระวังม่ายขันหมาก
แต่การเดินเกมของ “ก้าวไกล” ก็ใช่ว่าจะเอาชนะ “เขี้ยวการเมือง” อย่าง “เพื่อไทย” และผู้สนับสนุนไปได้ง่ายๆ เนื่องจากฝั่งเพื่อไทย แฟนคลับ และกลุ่มพลังนอกสภาที่ไม่ได้สนับสนุนพรรคส้ม ก็มีการตอบโต้ทางข้อมูลข่าวสารเช่นเดียวกัน
ยุทธศาสตร์ที่ 1 และ 2 มีการให้ข้อมูลตอกย้ำว่า สถานการณ์ขณะนี้ “ก้าวไกล” ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล และยังไม่เข้าใกล้การเป็นรัฐบาล เนื่องจาก กกต.ยังไม่ได้รับรอง ส.ส.แม้แต่คนเดียว ยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ผันแปรอีกมากในอนาคต
ทั้งเรื่องคุณสมบัติผู้สมัคร เรื่องใบเหลือง ใบแดง การประกาศรับรอง-ไม่รับรองผลการเลือกตั้ง รวมไปถึงคำร้องจากบรรดา “นักร้องเรียน” ทั้งคดีหุ้นไอทวี คดียุบพรรค ซึ่งล้วนมีผลให้เกิด “ความไม่แน่นอน” หรือ “อุบัติเหตุทางการเมือง” ได้ทุกเวลา
ยุทธศาสตร์ที่ 2 นโยบายที่หาเสียง ทำได้จริงหรือขายฝัน เพราะนโยบายที่หาเสียงไว้เกือบทั้งหมด ไม่ได้อยู่ในเอ็มโอยู
เกิดคำถามว่า ในฐานะ “ว่าที่ผู้นำฝ่ายบริหาร” เหตุใดทุกนโยบายที่นำมาอ้าง ไม่สามารถใส่ในเอ็มโอยูได้ นั่นเพราะในความเป็นจริง "พรรคก้าวไกล" ไม่สามารถทำงานพรรคเดียวโดยไม่เห็นหัวพรรคอื่นได้ใช่หรือไม่
ยุทธศาสตร์ที่ 3 เรื่องนโยบายที่ใช้ในการหาเสียง นำมาอ้างความชอบธรรมในการครองตำแหน่งนายกฯ และ "ประธานสภาฯ" ก็ถูกโต้กลับด้วยข้อมูลอีกด้าน
การผลักดันเสนอแก้ไขกฎหมาย 45 ฉบับ จริงๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภา เพราะ ส.ส.สามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ทุกคน ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติธรรมดา ใช้เสียง ส.ส.แค่ 20 คน / ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.ป. ใช้เสียง ส.ส. 1 ใน 10 หรือ 50 คน และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เสนอเป็นญัตติ) ใช้เสียง ส.ส. 1 ใน 5 หรือ 100 คน / ซึ่งพรรคก้าวไกลมี ส.ส. 151 คน ย่อมเสนอแก้ไขกฎหมายได้ทุกประเภท
สิ่งที่ “พรรคก้าวไกล” กลัว คือ หาก "ประธานสภาฯ" ไม่ใช่พวกตน ไม่ใช่คนของตน ก็จะไม่บรรจุร่างกฎหมาย หรือ ญัตติให้ตามต้องการมากกว่า
แต่การคิดแบบนี้ก็มีคนออกมาแย้งว่า สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาจริงหรือไม่ “พรรคก้าวไกล” มีความเข้าใจประชาธิปไตยแค่ไหน หรือจริงๆ แล้วมีความคิดไม่ต่างจากเผด็จการ (เผด็จรัฐสภา)
“รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก” อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ วิเคราะห์เอาไว้อย่างแหลมคม ดังนี้
จับตา “มหาดีล” พลิกขั้วไม่กลัว “ด้อมส้ม”
ส่องแว่นขยายไปที่ "ยุทธศาสตร์ข้อที่ 4" ของ "ก้าวไกล" จะผูกขาเพื่อไทย และว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลได้สำเร็จหรือไม่ เนื่องจาก
แท้ที่จริงแล้ว “พรรคเพื่อไทย” ไม่ได้มี ส.ส.แค่ 141 เสียง แต่มีถึง 162 เสียง เพราะมีดีลก่อนเลือกตั้งกับ “ว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล” พรรคอื่นเอาไว้แล้ว
“พรรคประชาชาติ” 9 เสียง (อ.วันนอร์ เคยอยู่ไทยรักไทย เป็น รมว.มหาดไทย ในรัฐบาลไทยรักไทย + พ.ต.อ.ทวี สายตรงสองพี่น้องแดนไกล)
“พรรคเป็นธรรม” 1 เสียง (พรรคนี้มี “เสธ.แมว - พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” อดีตเลขาธิการ สมช. สายตรง สายสัมพันธ์แนบแน่นกับคนแดนไกล เป็นผู้สนับสนุนหลัก)
"พรรคเล็ก พรรคจิ๋ว" 3-5 พรรค แกนหลักเคยร่วมงานกับไทยรักไทย และมีสายสัมพันธ์กับเครือข่ายคนแดนไกล
“พรรคเพื่อไทรวมพลัง” แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสาขาของเพื่อไทย เพราะเป็นพรรคเครือข่ายของตระกูล “หวังศุภกิจโกศล” มี ส.ส. 2 ที่นั่ง จากอุบลราชธานี ขณะที่ “เสี่ยแป้งมัน - วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล" อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ส่งลูกหลานลงสมัคร ส.ส.นครราชสีมา ในนาม “พรรคเพื่อไทย” สยายปีกเป็น “บ้านใหญ่หลังใหม่” ของโคราช เมืองย่าโม กวาด ส.ส. เกือบยกจังหวัด
“พรรคไทยสร้างไทย” 6 เสียง พรรคนี้จะไม่นับก็ได้ หากเชื่อว่า วิวาทะหว่าง “ผู้พันปุ่น กับ หมอชลน่าน” เป็นของจริง จะฟาดปากกันจริงๆ
สูตรคณิตศาสตร์การเมือง หากนับรวมเสียงทั้งหมดนี้ “เพื่อไทย” มี 162-164 เสียง มากกว่า “ก้าวไกล” 10 เสียงขึ้นไป
หากมีโหวตเลือก "ประธานสภาฯ" ซึ่งเป็นการลงคะแนนลับ แล้วเกิดคนของ “เพื่อไทย” ต้องแข่งกันคนของ “ก้าวไกล” อะไรจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะหากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมบางพรรค หันมาโหวตให้คนของเพื่อไทย
ประเด็นนี้ คงไม่ลืมสูตรผสมทางการเมืองอันลือลั่นที่ “กูรู” หลายคนเชื่อว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหลังเลือกตั้ง คือ เพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ
สามพรรคนี้รวมกัน 141+71+40 = 252 เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ยังไม่นับพรรคที่ดีลไว้ล่วงหน้าที่ตามเล่าก่อนหน้านี้อีก 21-23 เสียง
ตำแหน่ง “ประธานสภาฯ” อยู่ในมือ “เพื่อไทย” แน่นอน ส่วนตำแหน่งนายกฯ ก็จะลอยตามมา จาก “ซูเปอร์ดีล” ที่ขณะนี้ลือกันให้แซ่ด
โปรดสังเกต “ภูมิใจไทย” เงียบผิดสังเกต “พลังประชารัฐ” มีโยนหินถามทาง ลุงวางมือ เลิกกิจการพรรค ไหลรวม “เพื่อไทย”
นี่คืออนาคต “ลูกผี..ลูกคน” ของก้าวไกล ที่หนทางสู่เก้าอี้นายกฯ ค่อนข้างมืดมน ส่วนหนทางเปิดโล่งคือผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร