13 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันอังคารที่ 14 มีนาคมนี้ เพื่อขอความเห็นชอบ ในการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลรูปแบบใหม่ L6 และ N3
รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ต้องถามก่อนว่ารัฐบาลต้องการอะไร จากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ เพื่อหารายได้เพิ่มหรือเพื่อแก้ปัญหาสลากเกินราคา หากเป็นประเด็นการหารายได้เพิ่ม ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มีการเพิ่มสลากจาก 36 ล้านฉบับเป็น 100 ล้านฉบับ เพิ่มขึ้น 3 เท่า ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากสลากเพิ่มขึ้นมาก จากการซื้อสลากของประชาชน ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีสลากมากเท่านี้มาก่อน
สำหรับสลากตัวใหม่ L6 และ N3 ไม่แน่ใจว่า โครงสร้างของราคาจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้าออกมาคล้าย ๆ เดิม เท่ากับรัฐบาลจะมีส่วนแบ่งด้วย ซึ่งเป็นรายได้ที่รัฐบาลได้มาจากผู้มีรายได้น้อย ถามว่าในลักษณะแบบนี้มันไปกระตุ้นเศรษฐกิจไหม คำตอบคือไม่กระตุ้น เพราะกิจการสลากเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีห่วงโซ่การผลิตสั้นมาก จึงไม่ได้ก่อให้เกิดผลต่อวัฏจักรการผลิตสักเท่าไหร่ แต่จะมีผลต่อการบริโภคมากกว่า
“ลองคิดง่าย ๆ สลาก 1 ชุด มี 1 ล้านใบ เป็นเงินรางวัล 60% มีผู้ถูกรางวัลเพียง 14,168 รางวัล และคนถูกรางวัลใหญ่จะนำเงินมาใช้ไม่มาก สลากจึงเป็นกิจกรรมที่แย่งชิงตลาดการบริโภคสินค้าอื่นๆ ดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจจริง การที่ประชาชนซื้อสลากงวดละ 100 ล้านใบ ๆ ละ 80 บาท คิดเป็นเงิน 8,000 ล้านบาทต่องวด หรือปีละ 192,000 ล้านบาท แทนที่ประชาชนจะนำเงินจำนวนนี้ ไปใช้เพื่อการบริโภคสินค้าและบริการอื่นๆ การเพิ่มสลากทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการบริโภคในลักษณะที่ไม่เป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม”
รศ.ดร.นวลน้อย กล่าวต่อ ส่วนการออกผลิตภัณท์ตัวใหม่ เพื่อสู้กับหวยใต้ดินนั้น ต้องถามว่าจะสู้อย่างไร เพราะถ้าไปดูบทเรียนสมัยที่ออกหวยเขียน 2 ตัว 3 ตัว ทำได้แค่ดึงส่วนแบ่งมาบางส่วน บางส่วนก็ดึงไม่ได้ ในขณะนี้เศรษฐกิจไทยก็ไม่ค่อยจะดี รัฐบาลก็ยังคิดจะหารายได้จากการออกผลิตภัณฑ์หวยเพิ่มขึ้น รู้สึกเป็นกังวลว่า หวยใต้ดินก็ยังอยู่ และจะมีหวยอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีก ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยเพราะไม่อยากให้เพิ่มการพนันในสังคม
ด้าน นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า การแก้ปัญหาสลากแพงด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ เป็นวิธีการที่ล้มเหลวซ้ำซาก ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 11 ของรัฐบาลพลเอกประยุทธตั้งแต่สมัยคสช. มีการพิมพ์สลากเพิ่มทั้งหมด 11 ครั้ง ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นวิธีที่ไม่ได้ผล ขณะที่การเปลี่ยนผ่านการจำหน่ายสลากใบ มาสู่การจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ แสดงให้เห็นผลว่า ทำให้สามารถจำหน่ายสลากได้ในราคา 80 บาทจริง เพียงแต่ว่ายังเป็นสลากส่วนน้อยเท่านั้น จึงยังดึงราคาสลากทั้งตลาดลงมาไม่ได้
สิ่งที่ควรทำต่อคือ การเพิ่มจำนวนสลากเข้าสู่ระบบดิจิตัลให้มากพอ อย่างน้อย 50% ของสลากทั้งหมด หรือ 50 ล้านใบ ก็น่าจะมีผลทำให้ราคาสลากลงมาที่ 80 บาทได้ เรื่องนี้สำนักงานสลากฯ ควรทำโดยเร็ว แต่ก็ไม่ทราบว่า ด้วยเหตุผลอะไรถึงเพิ่มจำนวนสลากฯเข้าระบบได้ช้ามาก ทั้งที่เดินมาถูกทางแล้ว และก็ยังไม่เห็นความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องออกสลาก L6 มาซ้ำซ้อนกับสลากใบที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน และดูมีแนวโน้มจะเกิดการ “ตีกิน” เติมจำนวนสลากเพิ่มเข้ามาอีก นอกเหนือจากสลาก 100 ล้านใบเดิม
“ในช่วงปลายรัฐบาลอย่างนี้ หากครม.มีมติที่ดูเป็นการทิ้งทวน เพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง จะทำให้รัฐบาลถูกครหาได้ กลายเป็นการจบที่ไม่สวยของรัฐบาลนี้ อีกทั้งเป็นการตอกย้ำว่าที่ เคยสัญญาว่าจะแก้ปัญหาสลากแพง 8 ปีผ่านไปยังทำไม่สำเร็จ และกลายเป็นยุคที่ทำให้หวยเฟื่องฟูมากที่สุด” นายธนากร กล่าวและกล่าวต่อ
“ประเด็นที่อยากตั้งข้อสังเกตคือ การอ้างว่า การจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้ได้ทำตามกฎหมายนั้น พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาลกำหนดให้ การจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต้องรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสีย และศึกษาผลกระทบทางสังคมก่อน ซึ่งสำนักงานสลากฯได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นดำเนินการในสองเรื่องนี้ แต่เท่าที่ทราบในช่วงที่มีการรับฟังความเห็นตามภูมิภาคต่าง ๆ มีเสียงคัดค้านค่อนข้างมากจากผู้ค้ารายย่อย รวมทั้งภาคประชาสังคม ขณะที่รายงานการศึกษาผลกระทบทางสังคม ก็ไม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณชน
ทำให้ดูเหมือนได้ทำแล้วเท่านั้น รับฟังแต่ไม่ได้ยิน และงุบงิบว่าการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ จะเกิดผลดีและประชาชนก็เห็นด้วย ที่ถูกแล้ว บอร์ดสลากควรต้องชี้แจงต่อข้อคัดค้านทั้งหมด และควรเปิดเผยรายงานการศึกษาผลกระทบทางสังคมให้ประชาชนได้ทราบ” นายธนากร กล่าวในที่สุด