svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

เพจดังย้อนเหตุข้อกล่าวหา "ไทยลอกเขมร" ปมขัดแย้ง "กุน ขแมร์ vs มวยไทย"

25 มกราคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เพจดังด้านประวัติศาสตร์เล่าย้อนความอธิบายสาเหตุของข้อกล่าวหา "ไทยลอกเขมร" ที่มักจะมีชาวกัมพูชาโจมตีอยู่เสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปมล่าสุด "กุน ขแมร์" ที่ทางกัมพูชามองว่าคือต้นตำรับที่แท้จริงของ "มวยไทย"

จากกรณีที่ กัมพูชา ได้เปลี่ยนชื่อ มวย (มวยไทย) เป็น "กุน ขแมร์" ในการแข่งขัน "ซีเกมส์ 2023" เพราะมองว่า กุน ขแมร์ คือรากฐานของ มวยไทย ในทุกวันนี้ จนกลายเป็นดราม่ายกใหญ่และทำให้เกิดข้อถกเถียงว่า มวยไทย และ กุน ขแมร์ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ประเทศใดคือต้นตำรับของกีฬาการต่อสู้ประเภทนี้ รวมถึงปลุกกระแสชาตินิยมของทั้งสองชาติขึ้นมาอีกครั้งโดยเฉพาะทางฝ่ายกัมพูชา

ล่าสุด เพจ "โบราณนานมา" เพจเฟซบุ๊กชื่อดังที่ให้ความรู้และเกร็อดข้อมูลที่น่าสนใจทางประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความอธิบายปรากฏการณ์ครั้งนี้ ในหัวข้อ "อิทธิพลทางวัฒนธรรมไทยที่มีต่อกัมพูชา จนทำให้ถูกสะกดจิตหมู่ว่า ไทยลอกกัมพูชา" ระบุว่า 

ที่ผ่านมาจะเห็นประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ชอบดรามาเรื่องไม่เป็นเรื่องระหว่างประเทศไทย และส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมการกิน วัฒนธรรมการแสดง (โขน) สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ฯลฯ จนมาถึงเรื่องล่าสุด “กุน ขแมร์” ในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 (32nd SEA Games) ที่ประเทศกัมพูชา 

ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการกีฬากับการที่ ประเทศกัมพูชา ประกาศจัดแข่ง “กุน ขแมร์” ในศึกซีเกมส์ โดยไม่ยอมใช้ชื่อ “มวย” ทั้งที่กฎกติกาเหมือนกันแทบทุกกระเบียด เรียกภาษาชาวบ้าน คือ “ลอกมาทั้งดุ้น” ซึ่งฝ่ายไทยเองก็ประกาศแบนไม่ขอส่งแข่งขัน “กุน ขแมร์” และ “สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA)” จะแบนทุกชาติที่ร่วมแข่งขันนี้ จากนั้นก็เกิดสงครามทางโซเชียลระหว่างไทยและกัมพูชา อย่างเดือด 

เพจดังย้อนเหตุข้อกล่าวหา "ไทยลอกเขมร" ปมขัดแย้ง "กุน ขแมร์ vs มวยไทย"

“กุน ขแมร์ (Kun Khmer)” นั้นเป็นกีฬาต่อสู้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศกัมพูชา ชื่ออย่างเป็นทางการคือ “Kbach Kun Pradal Khmer” ในภาษาเขมร ซึ่งหมายถึง “การต่อสู้อย่างอิสระ” โดยทางกัมพูชาอ้างว่า “กุน ขแมร์” คือศิลปะการต่อสู้ที่มีมาอย่างยาวนาน และเป็นต้นตำรับของการต่อสู้อย่าง “มวยไทย” อีกด้วย

ซึ่งปรากฏการณ์ระหว่าง 2 ประเทศนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดเป็นประจำ และแทบจะทุกครั้ง ที่ประเทศกัมพูชามักจะกล่าวหาว่าไทยนั้นลอกกัมพูชามา

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ที่จะเห็นได้มากและชัดเจนคือช่วงเลือกตั้งของประเทศกัมพูชา เมื่อถึงคราวเลือกตั้ง ก็จะมีการปลุกกระแสชาตินิยมในหมู่คนกัมพูชาให้เกลียดชังประเทศไทย กล่าวหาว่าไทยไปขโมยวัฒนธรรม พวกสยามเป็นพวกขี้ขโมย โขนเป็นของพวกเรา มวยไทยลอกเขมรมา ฯลฯ เป็นที่น่าเศร้าเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็จะมีคนคล้อยตามและอินเป็นส่วนใหญ่

วัฒนธรรม การแต่งกาย ภาษา การกิน การอยู่ ฯลฯ ของไทยน่าจะเริ่มเข้าไปมีอิทธิพลในเขมร ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในสมัยก่อนเมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จะมีประเพณีหนึ่ง คือ การชุบเลี้ยงดูองค์รัชทายาทเขมรเป็นพระราชบุตรบุญธรรม ในฐานะลูกเจ้าเมืองประเทศราช (เมืองขึ้น) ซึ่งเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ มีมาแต่โบราณ เพื่อมิให้เขมรเกิดความกระด้างกระเดื่องต่อสยาม (ไทย) เหตุการณ์และประเพณีนี้เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 4 รวมเวลาทั้งสิ้น 73 ปี 

การที่องค์รัชทายาทเขมร ได้เข้ามาบวชเรียนและเติบโตในราชสำนักไทยตั้งแต่วัยเยาว์ จึงได้รับเอาวัฒนธรรมและรสนิยมแบบไทยในราชสำนักไทย เอาไว้มาก เมื่อต้องกลับไปครองราชบัลลังก์เขมร
เพจดังย้อนเหตุข้อกล่าวหา "ไทยลอกเขมร" ปมขัดแย้ง "กุน ขแมร์ vs มวยไทย"

ในปี 2408 สมัยรัชกาลที่ 4 ในกัมพูชาเกิดความขัดแย้งขึ้น สยามได้เรียกตัว “นักองค์ศรีวัตถา” และ “นักองค์ราชาวดี” เข้ากรุงเทพฯ สยามได้ตัดสินใจสนับสนุนให้ “นักองค์ราชาวดี” ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงกัมพูชา โดยมีขุนนางกัมพูชาในกรุงเทพช่วยกันประกอบพิธี พิธีราชาภิเษกของพระนโรดมที่กรุงเทพฯ ได้เป็นไปโดยนิตินัย ก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกอีกครั้งที่กรุงพนมเปญ โดยพฤตินัย จากนั้นพระองค์ได้ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าที่พระบรมมหาราชวังเพื่อเป็นการอำลา รัชกาลที่ 4  และเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงยินดีในพระนโรดมและได้พระราชทานพระปรมาภิไธยแก่พระนโรดม ขณะนั้นกัมพูชาเป็นประเทศราชของสยาม เชื้อพระวงศ์ที่จะอภิเษกเป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชา ต้องมาจากการแต่งตั้งของรัตนโกสินทร์ ทางสยามมีสิทธิในการสถาปนากษัตริย์กัมพูชา

พระราชวังหลวงเขมร ในช่วงแรกที่สร้างขึ้นออกแบบโดยสถาปนิกชาวเขมร คือ นักออกญาเทพนิมิต (มัก) และก่อสร้างโดยฝรั่งเศสแล้วเสร็จใน 2409 สมเด็จพระนโรดม จึงทรงย้ายราชสำนักจากอุดงมีชัย มายังพระราชวังหลวงแห่งใหม่ที่พนมเปญ ในเวลาต่อมา ได้มีการก่อสร้างหรือรื้อถอนสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เพิ่มเติมในพระราชวังนี้ รวมถึงพระที่นั่งจันทรฉายา และพระที่นั่งเทวาวินิจฉัย (ท้องพระโรง) องค์เดิม กำแพงพระราชวังถูกสร้างขึ้นในปี 2516 สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่สร้างในช่วงนี้ มีสถาปัตยกรรมแบบสยามเป็นหลัก เช่น ผังพระราชวัง (ที่มีวัดพระแก้ว) พระที่นั่งจันทรฉายา ที่มีต้นแบบมาจากพระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท (พระบรมมหาราชวัง) และพลับพลาสูง (วังหน้า)  ฯลฯ
เพจดังย้อนเหตุข้อกล่าวหา "ไทยลอกเขมร" ปมขัดแย้ง "กุน ขแมร์ vs มวยไทย"
ในนิราศนครวัดโดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพบรรยายว่า พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในราวต้นรัชกาลที่ 5 ที่เมืองพนมเปญ โดยสมเด็จพระนโรดมได้เคยเข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ จึงนิยมแบบแผนพระราชวังอย่างในกรุงเทพนำไปสร้างเท่าที่จะทำได้หมดโดยริมกำแพงหน้าวังมีปราสาทพลับพลาสูงอย่างพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เรียกว่า “พระที่นั่งจันทรฉายา”

กษัตริย์กัมพูชาทุกพระองค์ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ไปจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ยกเว้นสมเด็จพระนางเจ้ามี) ล้วนเคยได้รับการศึกษาในกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้ว่า “...ในราชสำนักกรุงกัมพูชาครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนโรดมนั้นใช้ภาษาไทยเป็นพื้น “เพราะเมื่อครั้งสมเด็จพระนโรดมตรัสแต่ภาษาไทย ถึงกล่าวกันว่าตรัสภาษาเขมรมิใคร่คล่อง”...”

นั่นเองจึงเป็นที่มาของความคล้ายคลึงวัฒนธรรมกัมพูชา (ในปัจจุบัน) ที่คล้ายกับวัฒนธรรมไทยเอามาก ๆ 

ในเรื่องศิลปะการแสดงนั้น แม้แต่สมเด็จพระเรียมนโรดม บุปผาเทวี ซึ่งเป็นพระเชษฐภคินีต่างพระมารดาในกษัตริย์ รัชกาลปัจจุบัน แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และเป็นพระราชธิดาในกษัตริย์รัชกาลก่อน พระองค์ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับทาง Khmer Dance Project คือโครงการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะการแสดงของเขมรซึ่งมี New York Public Library ให้การสนับสนุน) ว่า “...ตั้งแต่ยุคนักองค์ด้วง กษัตริย์นโรดม และกษัตริย์สีสุวัตถิ์ อิทธิพลจากไทยมีสูงมาก เพราะเราขาดแคลนครู ครูจากไทยเดินทางมาถึงราชสำนักเขมร บางทีครูเขมรก็ไปที่ราชสำนักไทย นี่เป็นช่วงเวลาของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างราชสำนักไทยและราชสำนักเขมร...” “มันคือการผสมผสานอย่างแท้จริง” สมเด็จพระเรียมนโรดม บุปผาเทวีกล่าว
เพจดังย้อนเหตุข้อกล่าวหา "ไทยลอกเขมร" ปมขัดแย้ง "กุน ขแมร์ vs มวยไทย"
พระองค์กล่าวว่า “...ทางฝ่ายกัมพูชาได้รับความรู้จากครูไทยแล้วก็นำไปประยุกต์ให้เข้ากับวัฒนธรรมของตัวเอง หลังจากนั้นระบำของราชสำนักเขมรกับราชสำนักไทยก็มีรูปแบบที่แตกต่างกัน...”

สมเด็จพระเรียมนโรดม บุปผาเทวี ยังบอกว่า “...ในสมัยกษัตริย์สีสุวัตถิ์ ร่วมสมัยกับรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ของไทย เครื่องแต่งกายของนางรำก็ยังเป็นแบบไทยอยู่ ก่อนที่ทางคณะละครของกัมพูชาจะดัดแปลงให้เป็นแบบของกัมพูชาเอง...” จึงไม่แปลกที่การแสดงเรื่องรามายณะดัดแปลงฉบับกัมพูชาจะมาคล้ายคลึงกับ “โขน” ของไทย และนี่ก็เป็นหลักฐานของการ “แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม” ของสองราชสำนักที่เกิดขึ้นโดยสมัครใจ

และยังมีเรื่อง “เลขไทย” อีก ซึ่งเลขไทยในยุคต้นได้รับอิทธิพลมาจาก “เขมรโบราณ” ซึ่งเขมรก็รับมาจาก “อักษรอินเดียใต้ (หรืออักษรสมัยราชวงศ์ปัลลวะ)” อีกทีหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับ “อักษรทวารวดี” ที่พบในภาคกลางของประเทศไทย ในส่วนของอักษรไทยนั้น ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ กล่าวว่า ระบบอักษรไทยสุโขทัย ถูกพัฒนาจากอักษรขอมหวัด + อักษรมอญ ส่วน “เลขเขมรปัจจุบัน” ได้รับอิทธิพลมาจากเลขไทยในยุค “รัตนโกสินทร์ตอนต้น” ที่เวลานั้นเขมรเป็นประเทศราชของสยาม จึงทำให้ “เลขไทยปัจจุบัน” และ “เลขเขมรปัจจุบัน” เหมือนกันอย่างกับแกะ 

เพจดังย้อนเหตุข้อกล่าวหา "ไทยลอกเขมร" ปมขัดแย้ง "กุน ขแมร์ vs มวยไทย" สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการสูญหายไปของ “วัฒนธรรมเขมร” แบบดั้งเดิม ที่ผ่านมากัมพูชาถือ “วัฒนธรรมอินเดีย” เป็นวัฒนธรรมครูเหมือน “ไทย” และ “ลาว” แต่กัมพูชาก็ไม่ยอมรับวัฒนธรรมความเชื่อแบบเวียดนามที่มาจากจีน ดังนั้น กัมพูชาจะคุ้นเคยทางวัฒนธรรมกับ “ไทย” และ “ลาว” มากกว่า เพราะภูมิศาสตร์ของประเทศกัมพูชาล้อมไปด้วย “เผ่าไท” (กลุ่มตระกูลไท-กะได) กัมพูชาตอนนี้จึงอาจจะอยู่ในสภาวะ “การหลอมรวมหรือกลืนกลายทางวัฒนธรรม” 

ซึ่งปรากฏการณ์นี้ก็กำลังเกิดขึ้นเรื่อย ๆ เช่น คนกัมพูชาเริ่มรู้ภาษาไทยมากขึ้น ภาษาเขมรเริ่มมีเสียงวรรณยุกต์ ศัพท์ไทยบางคำก็เริ่มจะแทรกซึมเข้าไปในภาษาเขมรมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงการแต่งกายเริ่มคล้ายไทย รสนิยมการกินการใช้ อาหาร ฯลฯ เริ่มเหมือนไทย

ทาง “ประเทศไทย” นั้นรู้จักว่าอะไรเป็น “ศิลปะของสยาม” อะไรเป็น “ศิลปะของขอม ศิลปะของของเขมร”  แต่ในเมื่อกัมพูชาไม่รู้จึงเลยแยกแยะไม่ได้ เมื่อแยกแยะไม่ได้จึงรับ “วัฒนธรรมไทย (สยาม)” เข้าไปเต็ม ๆ

logoline