svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

สรุปปมร้อน "บ้านครอบครองปรปักษ์" บานปลายจนมีผู้เสียชีวิต

27 กุมภาพันธ์ 2567
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

สรุปปมร้อน "บ้านครอบครองปรปักษ์" ทนายบอกให้สู้ แต่หนูไม่อยากทำ บานปลายจนมีผู้เสียชีวิต สังคมตั้งคำถามผิดมรรยาททนายหรือไม่? ด้าน "อากู๋" ลั่น! เรื่องนี้อยากจบ ต้องเปลี่ยนทนาย

ข่าวการเสียชีวิตของ น.ส.ภานุมาศ หรือ "คุณนุ" 1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีบุกรุกบ้านครอบครองปรปักษ์ ย่านรามอินทรา จบชีวิตตัวเองในห้องน้ำบ้านพัก ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมยังติดตามอย่างต่อเนื่อง และพุ่งเป้าไปที่ ทนายความผู้ตาย ที่อาจเป็นสาเหตุให้เรื่องราวบานปลายมาถึงจุดนี้ "Nation STORY" ชวนย้อนอ่านมหากาพย์บ้านครอบครองปรปักษ์ และหลังจากนี้ ทิศทางของคดีจะดำเนินต่อไปอย่างไร?

เปิดไทม์ไลน์บ้านครอบครองปรปักษ์

เดือนกันยายน 2566 คุณอาย และ คุณซัน ว่าที่บ่าวสาว เข้าร้องเรียนทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ กรณีอากู๋เหม อายุ 64 ปี (เจ้าของบ้าน) ซื้อบ้านในโครงการหมู่บ้านจัดสรรในซอยรามอินทรา 58 แยก 6-2 ไว้ตั้งแต่ปี 2534 ช่วง 10 ปีแรก อากู๋ ยังแวะเวียนไปดูบ้าน แต่ช่วงหลังไม่ว่างจึงปล่อยทิ้งร้างมานาน

กระทั่ง คุณอาย และ คุณซัน จะแต่งงานกัน อากู๋ จึงยกบ้านให้เป็นของขวัญแต่งงาน ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่เดินทางไปดูบ้าน กลับพบว่าเพื่อนบ้านได้เข้ามาอยู่อาศัย ด้านหลังบ้านมีการต่อเติมครัวทำกับข้าว

ต่อมาฝั่งผู้บุกรุกซึ่งเป็นเพื่อนบ้านได้เข้ามาพูดคุย บอกว่ายินยอมย้ายออก แต่ขอเรียกเก็บค่าต่อเติมทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน ทำให้เจ้าของบ้านตัวจริงไปแจ้งความไว้ที่ สน.โคกคราม ข้อหาบุกรุก, ลักทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์

ด้าน ผู้บุกรุก ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโหนกระแส บอกว่า ตนเองมาซื้อบ้านหลังแรกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านที่มีปัญหา เมื่อปี 2545 หรือประมาณ 21 ปี ก่อน ตอนนั้นบ้านหลังดังกล่าวไม่มีผู้อยู่อาศัยปล่อยบ้านรกร้าง ต่อมาได้ซื้อบ้านเพิ่มอีกหลัง ซึ่งอยู่ด้านขวามือติดกับบ้านที่มีปัญหา เพื่อทำเป็นสำนักงาน ตอนนั้นพยายามถามหาเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวมาโดยตลอด ทั้งติดต่อไปตามธนาคารต่างๆ และกรมที่ดิน แต่ก็ยังไม่เจอเจ้าของบ้าน

สรุปปมร้อน \"บ้านครอบครองปรปักษ์\" บานปลายจนมีผู้เสียชีวิต

ตนเองอยากได้บ้านหลังดังกล่าวมาก ประกอบกับสภาพบ้านตอนนั้น มีต้นไทรต้นใหญ่และต้นกล้วย ส่วนด้านหลังติดกับป่ากก มีสัตว์เลื้อยคลาน เข้ามาตายในบ้านและส่งกลิ่นเหม็นรบกวนไปทั่ว เวลาหน้าฝนลมแรง เศษกระเบื้องเคยตกลงมาจะโดนหัวคน จึงเข้าไปซ่อมแซมบ้านหลังดังกล่าว อย่างไรก็ตามยินดีย้ายของออกโดยไม่เก็บเงินค่ารีโนเวท

นอกจากนี้ยังตั้งคำถามเจ้าของบ้านว่า จะให้เช่าบ้านหลังนี้หรือไม่ ถ้าให้เช่า ตนเองก็ยินดี และหากเจ้าของจะขายบ้าน ตนเองพร้อมขอซื้อ แต่ขอเป็นราคาที่เหมาะสม

ด้าน ทนายเดชา บอกว่า ถือเป็นความผิดชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งบุกรุก ลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ โดยผู้บุกรุกจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ เพราะการบุกรุกเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อตอนปี 2560 และถือว่ายังไม่ขาดอายุความในข้อหาบุกรุก

17 กันยายน 2566 คุณอายกับคุณซัน เดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง และพบว่าคู่กรณีได้มีการขนของย้ายออกหมดแล้ว จึงนำกุญแจมาล็อกบ้านทั้งหลังไว้

เดือนตุลาคม 2566 มีการนัดเจรจาแต่ตกลงกันไม่ได้ กระทั่งวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 คู่กรณีได้ยื่นฟ้องแพ่งที่ศาลแพ่งมีนบุรี โดยแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และมีหมายศาลส่งมาหาเจ้าของบ้านตัวจริง เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567

29 มกราคม 2567 เจ้าของบ้านตัวจริง ไปยื่นคัดค้านในคดีแพ่ง หลังจากนั้นได้ขับรถไปดูบ้านอีกครั้ง พบว่ามีการนำป้ายมาติดหน้าบ้านเปิดเป็นร้านขายไก่ ภายในบ้านมีเครื่องครัว โต๊ะเก้าอี้ และยังมีการนำป้ายมาติดหน้าบ้านระบุข้อความ "บ้านเลขที่ 12/119 (62) หลังนี้ ข้าพเจ้าได้กรรมสิทธิ์ โดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย บุคคลใดเข้ามากระทำการใดๆในบ้านและที่ดิน และบ้านหลังนี้ ถือว่ามีความผิดฐานบุกรุก จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน" ลงชื่อนางสาวศรีพรรณ (สงวนนามสกุล) ซึ่งเป็น 1 ใน 5 คน ที่โดนฟ้องในคดีบุกรุกบ้าน

สรุปปมร้อน \"บ้านครอบครองปรปักษ์\" บานปลายจนมีผู้เสียชีวิต

8 กุมภาพันธ์ 2567 คุณอาย กับคุณซัน ตัดสินใจเดินทางเข้าปรึกษาทนายเดชา อีกครั้ง เพราะกรณีนี้ศาลยังไม่ตัดสิน แต่คู่กรณีถือวิสาสะเข้ามาในบ้าน อาจสร้างความเข้าใจผิดได้

ด้าน ทนายเดชา บอกว่า การกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำครั้งใหม่ พนักงานสอบสวนควรจะพิจารณาดำเนินคดีต่างกรรมต่างวาระ พร้อมทั้งติงทนายฝั่งตรงข้ามว่า ไม่ควรแนะนำลูกความตัวเองแบบนี้ เพราะการกระทำดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ แต่เป็นการบุกรุก

13 กุมภาพันธ์ 2567 ทนายกุ้ง พาคุณซัน หลานชายอากู๋ โชว์โฉนดตัวจริง ทวงบ้านคืน พร้อมสั่งตัดกุญแจ - ปลดป้ายไก่ตะเกียบ และเก็บหลักฐานในบ้าน ส่งตำรวจดำเนินคดี

16 กุมภาพันธ์ 2567 พนักงานสอบสวน สน.โคกคราม นำ 5 ผู้ต้องหา คดีบุกรุกบ้านครอบครองบ้านปรปักษ์ ส่งฟ้องต่ออัยการคดีอาญามีนบุรี ในข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ และ ลักทรัพย์ โดยคดีนี้มี "คุณนุ" ผู้เสียชีวิต ตกเป็นผู้ต้องหาด้วย และอัยการนัดฟังคำสั่งในวันที่ 6 มีนาคม 2567

20 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.35 น. สามีของคุณนุ ส่งข้อความไปหาหลานชายอากู๋ ระบุ "ต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากๆ เลย อยากจะขอให้พี่ได้เข้าไปพูดคุยกับน้องสักครั้งนะครับ เรื่องปรปักษ์ พี่ให้ทนายกับคุณศรีพรรณไปถอนคำร้องแล้วครับ" ต่อมาเวลา 11.06 น. คุณนุ ส่งไลน์ไปหาคุณอาย ว่า "ยังไงก็คิดว่าทำบุญให้คนป่วยแบบพี่ด้วยนะคะ" แต่คุณอายไม่ได้เปิดอ่าน และได้แคปหน้าจอส่งมาให้กับทีมทนายความ

26 กุมภาพันธ์ 2567 คุณนุ ผูกคอจบชีวิตตัวเองในบ้านพัก ย่านรามอินทรา ก่อนถึงวันที่อัยการนัดฟังคำสั่งคดีบุกรุก โดย ทนายผู้ตาย พูดถึงสาเหตุความเครียดครั้งนี้ เกิดจากเจ้าของบ้านตัวจริงใช้สื่อกดดัน ประกอบกับมีโรคประจำตัวร้ายแรง ทำให้ทนายเดชา ออกแถลงโต้ทันทีว่า ไม่เคยใช้สื่อเป็นเครื่องมือกดดัน ฝากถึงทนายเพื่อนบ้าน นึกถึงบาปบุญคุณโทษบ้าง ขณะที่คุณซัน ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวคู่กรณี และขออย่าซ้ำเติมผู้เสียชีวิต

เปิดคลิปสนทนา คุณนุ อยากถอนปรปักษ์

ต่อมา ทนายเดชา ยังได้นำคลิปบทสนทนาระหว่าง คุณนุ และ อากู๋เหม (เจ้าของบ้าน) มาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน ในคลิปดังกล่าว อากู๋ กล่าวว่า "การเจรจามันต้องให้เกียรติกัน แล้วจริงๆ มันจะไม่เลยเถิด ถ้าไม่ไปแจ้งปรปักษ์"

ก่อนที่ คุณนุ จะกล่าวว่า "เราจะถอนปรปักษ์แล้วค่ะ ทุกคนจะมาแนะนำเราว่า ทำแบบนี้สิ โดนคดีความไปแล้ว เกิน 13 ปีแล้ว ต้องทำแบบนี้ถึงจะชนะ ยอมรับเลยว่าทุกอย่างไม่เป็นตัวของตัวเองเลย เมื่อวานเพิ่งเรียกคุยกับทนาย แล้วหนูก็กราบเท้าเขาเลยว่า หนูไม่อยากทำแล้ว ไม่ใช่เจตนาของหนูตั้งแต่แรก พี่สาวเข้าไปดูแลบ้านจริงๆ"

สรุปปมร้อน \"บ้านครอบครองปรปักษ์\" บานปลายจนมีผู้เสียชีวิต

จากประเด็นคลิปเสียงดังกล่าวทำให้เกิดปมร้อนบนโลกออกไลน์ ชาวเน็ตพากันพุ่งเป้าไปที่ทนายผู้เสียชีวิต พร้อมตั้งคำถามว่าการให้คำปรึกษาลูกความแบบนี้ ผิดมรรยาททนายความหรือไม่? และเรียกร้องให้สภาทนายความฯ ออกมาพิจารณาเรื่องนี้ด่วน

27 กุมภาพันธ์ 2567 นายวัฒนา ทนายความผู้เสียชีวิต โฟนอินเข้ารายการโหนกระแส ชี้แจงปมคลิปเสียง วันนั้นเห็นผู้เสียชีวิตมีการไหว้ต่อหน้าสามี ต่อหน้าคนบุกรุกบางส่วน ตนก็บอกไม่ต้องมาไหว้ เพราะผู้เสียชีวิตโทษตัวเอง เนื่องจากทำให้ตนและคนอื่นโดนวิพากษ์วิจารณ์ไปด้วย

ทนายวัฒนา ยืนยันว่าไม่ได้ปฏิเสธจะไม่ยอมถอนคดี ตามที่ผู้เสียชีวิตร้องขอ โดยบอกไปถ้าจะถอนก็ถอนได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องดูเวลาที่เหมาะสม ตนไม่ได้ขัดข้องอะไร และจำไม่ได้ผู้เสียชีวิตกราบเท้าหรือไม่ ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมไม่แนะนำลูกความอย่าไปเอาของคนอื่นด้วยการครอบครองปรปักษ์ ทนายวัฒนา กล่าวว่า กฎหมายคุ้มครองคนไม่สุจริตอยู่แล้ว

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรสังคมต่อว่าทนายเป็นคนบอกให้คู่กรณีทำแบบนี้ จนเรื่องราวบานปลายหนัก ทนายวัฒนา กล่าวว่า ไม่รู้สึกอะไร เพราะอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ตนไม่ได้โทษคุณซันและคุณอาย แต่ทั้ง 2 คนก็มีที่ปรึกษาเหมือนกัน เรื่องนี้ถ้ามาพูดคุยก็อาจตกลงกันได้โดยสันติ คุณโชคดีที่มาเจอคนครอบครองปรปักษ์ เพราะถ้าแพ้คดีก็ยอมรับ ถ้าชนะคดีก็ต้องพูดคุยกันในการจะคืนบ้าน

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : รายการโหนกระแส

ด้าน "อากู๋เหม" โฟนอินเปิดใจผ่านรายการโหนกระแสว่า "เรื่องนี้ถ้าอยากให้จบ อยากให้คู่กรณีเอาทนายคนนี้ออกไป แล้วตั้งทนายความใหม่ ก่อนมาเจรจากัน ตอนนี้ให้สิทธิเต็มที่กับซันและอายทั้งหมด"

ขณะที่ คุณพลกฤษณ์ สามีคุณนุ โฟนอินเข้ามาในรายการ ยืนยันเจตนารมณ์ว่า ตนกับคุณนุจะไปถอนคดีครอบครองปรปักษ์ ไม่เคยมีเจตนาจะครอบครองบ้านของอากู๋จริงๆ หลังจากนี้ถ้าทนายไม่ได้ไปถอน ตนก็อาจจะพาคุณศรีพรรณ ไปยื่นขอถอนฟ้องด้วยตัวเอง พร้อมทั้งขอโทษคุณซัน คุณอาย และ อากู๋ กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด

เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะความโง่เขลา ที่เชื่อคำแนะนำต่างๆ ไปฟ้องเพื่อจะมาต่อรองในส่วนคดีอาญา ไม่อยากจะสู้อะไรอีกแล้ว มันเหนื่อยมากจริงๆ และตอนนี้คุณนุก็ไม่อยู่แล้ว

 

ขอบคุณภาพและข้อมูล : รายการโหนกระแส 

logoline