เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 65 การเมืองท้องถิ่นคึกคักส่งสัญญาณไปถึงการเลือกตั้งระดับชาติในพื้นที่ภาคอีสาน เมื่อมีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด (อบจ.ร้อยเอ็ด ) โดยเป็นการเลือกตั้งซ่อมแทน "นายเอกภาพ พลซื่อ" ที่ถูกศาลพิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมือง พร้อมชดใช้ค่าเสียหายการเลือกตั้งให้ กกต. จากกรณีการปราศรัยหาเสียงโดยมิชอบ
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 19.50 น. ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการนับไปแล้ว 80 เปอร์เซนต์ ปรากฎว่า "นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์" ผู้สมัครเลือกตั้ง นายกฯอบจ.ร้อยเอ็ด หมายเลข 2 สังกัดพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนนำมาเป็นอันดับ1 ด้วยคะแนน 208,631 คะแนน ตามมาด้วย "นางรัชนี พลซื่อ" หมายเลข 1 ด้วยคะแนน 95,060 คะแนน และ "นางจุรีพร สินธุไพร" หมายเลข 4 ด้วยคะแนน 86,614 คะแนน
สำหรับการเลือกตั้งนายกฯอบจ.ร้อยเอ็ด มีผู้ลงสมัครรับการเลือกตั้ง จำนวน 4 หมายเลข ประกอบด้วย "นางรัชนี พลซื่อ" หมายเลข 1 นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ หมายเลข 2 ,นายโยทะกา โคตุระพันธ์ หมายเลข 3 และ "นางจุรีพร สินธุไพร" หมายเลข 4 ซึ่งคาดว่าจะมีการนับคะแนนละประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการภายในเวลา 24.00 น.
ชัยชนะเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด (อบจ.ร้อยเอ็ด) ของ "นายเศกสิทธิ์"ครั้งนี้ ยังส่งผลให้นักวิเคราะห์ทางการเมือง มองข้ามช็อตไปถึงการแข่งขันเลือกตั้งระดับชาติในพื้นที่ภาคอีสานอีกด้วย
เนื่องจาก ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนายกฯอบจ.ร้อยเอ็ด "อุ๊งอิ๊งค์" แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทยได้ยกทัพใหญ่ มาช่วยหาเสียงให้กับ"นายเศกสิทธิ์" พร้อมกับประกาศลั่นด้วยการยึดแนวทางแลนด์สไลด์ ซึ่งผลการนับคะแนนผ่านไปแล้ว 80 เปอร์เซนต์ นายเศกสิทธิ์ ได้รับคะแนนเสียงชนะทุกอำเภอ
แม้เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น แต่พื้นที่ร้อยเอ็ด มีการแข่งขันสูง เพราะตัวผู้สมัครที่ลงชิงชัย ไม่ว่าเป็น "นางรัชนี พลซื่อ" ก็ลงสมัครแทนสามี คือ "นายเอกภาพ พลซื่อ" ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง รวมถึง นาง"จุรีพร สินธุไพร" ที่ลาออกจากกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี มาลงเลือกตั้งนายกฯอบจ.ร้อยเอ็ดครั้งนี้ในนามอิสระ แต่อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ ทั้ง "นางรัชนี" และ "นางจุรีพร" เคยสังกัดพรรคพลังประชารัฐมาก่อน
สำหรับพื้นที่ "จังหวัดร้อยเอ็ด" มีจำนวน 20 อำเภอ 192 ตำบล 2446 หมู่บ้าน มีหน่วยเลือกตั้ง 2,535 หน่วยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 1,050,000 คน โดยในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 ได้มีการแบ่งเขตเลือกตั้งให้ร้อยเอ็ดมี ส.ส.ได้ถึง 7 คน ซึ่งชัยชนะของ "เศกสิทธิ์" จึงเป็นตัวชี้วัดถึงการเลือกตั้งส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคอีสานได้ระดับหนึ่ง