
8 ตุลาคม 2568 เว็บไซต์ข่าวการเมือง "โพลิติโค" (Politico) รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความยินดีที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของ "สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" หรือ อาเซียน (ASEAN) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ ขณะที่แหล่งข่าว 3 คนที่ใกล้ชิดแผนการนี้ และไม่ต้องการเปิดเผยนาม เนื่องจากเป็นหัวข้อละเอียดอ่อน ระบุว่า ทำเนียบขาวกำลังกำหนดเงื่อนไขการเข้าร่วมการประชุมฯ ของทรัมป์ โดยรัฐบาลมาเลเซียจะต้องยอมให้ทรัมป์ เป็นประธานพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพไทยกัมพูชา ในระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งนี้ด้วย โดย "ไม่มีจีนเข้าร่วม"
รายงานระบุว่า นี่เป็นงานสำคัญระดับนานาชาติ ที่จะทำให้ทรัมป์ ซึ่งอ้างว่า มีบทบาทสำคัญในการ "ยุติความขัดแย้งข้ามพรมแดนอันนองเลือด" นาน 5 วัน ระหว่างสองประเทศ เมื่อเดือนกรกฎาคม มีโอกาสประกาศตัวเป็น "ผู้สร้างสันติภาพอันดับ 1 ของโลก" (peacemaker-in-chief) ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า ทำเนียบขาวได้ร้องขอเป็นพิเศษไปยังผู้จัดการประชุม "งดเว้น" การให้เจ้าหน้าที่จีนร่วมพิธี โดย "การกีดกันจีนออกไป" จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า ทรัมป์จะยังคงเป็นที่จับตามอง และลดทอนความสำคัญในความพยายามของจีน ที่จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วยเช่นกัน
ทำเนียบขาวได้ปฏิเสธในเวลาต่อมา ไม่ได้มีการยื่นเงื่อนไขนี้ โดยยืนยันว่า ทรัมป์ กำลังเจรจาเพื่อข้อตกลงสันติภาพนี้ แต่ไม่ได้ตั้งเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ส่วนจีนก็ไม่ได้มีบทบาทในการเจรจาเหล่านี้ สวนทางกับข้อมูลของแหล่งข่าวที่ระบุว่า การเจรจายังคงดำเนินอยู่ แต่รัฐบาลมาเลเซียตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก
แหล่งข่าวบอกว่า นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ได้บอกไปก่อนแล้วว่า การเข้าร่วมของทรัมป์ เป็นข้อตกลงที่ทำสำเร็จแล้ว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขายอมรับคำขอ เขาก็มีความเสี่ยงที่จะดูเหมือนกำลังเอาใจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ไม่ได้รับความนิยมอย่างมากในมาเลเซีย
การรณรงค์ของทรัมป์ เพื่อให้ได้รับการยอมรับในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยสันติภาพ ระหว่างประเทศ ได้กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ เขาอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เป็นคนยุติ "สงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น 7 ครั้ง" และมีบทบาทสำคัญในข้อตกลงสันติภาพล่าสุด ระหว่างอิสราเอลกับสราเอล เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ ทรัมป์ไม่ได้ปิดบังความปรารถนา ที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ทำให้ผู้นำต่างชาติ ที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ รีบช่วยกันผลักดันความทะเยอทะยานนี้ ตั้งแต่ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา และรัฐบาลปากีสถาน ต่างเสนอชื่อทรัมป์ให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2025 และตัวทรัมป์เองก็เพิ่งขู่เมื่อเดือนที่แล้วว่า จะถือเป็น "การดูหมิ่นอย่างรุนแรง" ถ้าใครก็ตามที่ไม่ใช่เขา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2025 ในวันศุกร์นี้