เมื่อวันอังคาร Financial Times สื่อในเครือ Nikkei บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังระดับโลกของญี่ปุ่น รายงานว่า 'แจ็ค หม่า' อดีตมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของจีน ได้ไปใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเขาแทบไม่ปรากฎตัวต่อสาธารณชนเลย นับตั้งแต่ตำหนิการทำงานของหน่วยงานกำกับดูแลและระบบธนาคารของจีน เมื่อปี 2563
รายงานซึ่งอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยนามระบุว่า เป็นเวลาเกือบ 6 เดือน ที่หม่า อดีตครูสอนภาษาอังกฤษ ที่ผันกลายไปเป็น "ซูเปอร์สตาร์ด้านเทคโนโลยี" ได้อาศัยอยู่ที่กรุงโตเกียวกับครอบครัว โดยเป็นการใช้ชีวิตที่ผสมผสานระหว่างการทำธุรกิจกับหาความสุขจากการไปเที่ยวออนเซ็น (น้ำพุร้อน) กับสกีรีสอร์ตในชนบทของญี่ปุ่น รวมถึงการเดินทางไปสหรัฐฯกับอิสราเอลเป็นประจำด้วย
ปัจจุบันความมั่งคั่งของหม่าหายไปกว่าครึ่ง โดยจากเกือบ 50,000 ล้านดอลลาร์ (กว่า 1 ล้าน 7 แสนล้านบาท) เหลือ 21,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 767,000 ล้านบาท) หลังจากบริษัทในอาณาจักรธุรกิจของเขา คือ อาลีบาบา (Alibaba) และแอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ถูกตรวจสอบเรื่องละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด นอกจากนี้แอนท์ กรุ๊ป ยังถูกระงับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ทำให้สูญเสียรายได้กว่า 37,000 ล้านดอลลาร์
มีรายงานล่าสุดว่าแอนท์ กรุ๊ป อาจถูกปรับเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ (36,000 ล้านบาท) โดยธนาคารกลางของประเทศจีน (People's Bank of China) หรือ PBOC ที่จับตาการปรับเปลี่ยนกิจการของแอนท์ กรุ๊ป ได้ติดต่อขอเจรจาอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับค่าปรับมาตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และตัวเลขค่าปรับนี้ถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดที่บริษัทในวงการเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตต้องจ่าย ตามหลังบริษัทในเครืออย่างอาลีบาบา กรุ๊ป ที่ถูกปรับ 2,510 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 90,821 ล้านบาท) ฐานละเมิดกฎหมายผูกขาดทางการค้าเมื่อปีที่แล้ว
เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นผลมาจากการที่หม่าตำหนิการทำงานของหน่วยงานกำกับดูแลและระบบธนาคาร ว่ากีดกันการสร้างนวัตกรรมและปิดกั้นโอกาสใหม่ ๆ ทั้งยังเรียกว่า "เป็นสมาคมคนชรา" สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และหลังจากนั้นหม่าก็หายหน้าไปถึง 3 เดือน
หลังเกิดเรื่องหม่าได้ลดกิจกรรมด้านสาธารณะให้เหลือน้อยที่สุด และไม่ว่าจะไปพักแรมที่ไหนก็จะเน้นเรื่องการรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคลและนำเชฟไปด้วยทุกครั้ง แม้กระทั่งการไปร่วมคลับที่มีสมาชิกแค่หยิบมือแต่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีนผู้มั่งคั่ง