
3 ธันวาคม 2568 จากกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการแถลงผลปฏิบัติการถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ หลังจากมีการปูพรมตรวจค้นเป้าหมาย 50 จุด ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดโดย ปปง.ยึดทรัพย์และอายัดทรัพย์ อาทิ เรือยอชต์ รถหรู ที่ดิน และอายัดเงินในบัญชีรวมมูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาท เอาไว้ตรวจสอบ แบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่
กลุ่มที่ 1 นายเฉิน จื้อ กับพวก เครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์และค้ามนุษย์ที่มีฐานใหญ่ในกัมพูชา เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท Prince Holding Group พบพฤติการณ์ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลและสับเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ต่าง ๆ ในรูปแบบไฮบริดสแกม คณะกรรมการฯ จึงสั่งยึดทรัพย์สินกว่า 102 รายการ มูลค่าประมาณ 373 ล้านบาท
กลุ่มที่ 2 คดีนายก๊ก อาน (Mr. Kok An) เจ้าของอาคารหลายแห่งในกัมพูชาที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการใช้บัญชีม้าสแกนใบหน้าเพื่อโอนเงินและนำเงินที่ได้มาซื้อทรัพย์สินในไทยให้ผู้อื่นถือครองแทน โดยในคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 90 รายการ มูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท
กลุ่มที่ 3 จัดเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายและยึดทรัพย์ได้สูงที่สุดคือ คดีนางสาวแตงไทย กับพวก ที่เชื่อมโยงกับ นายยิม เลียก (Mr. Leak Yim) และ นายเบน สมิธ (Mr. Smith Ben) บุคคลใกล้ชิด ทายาทผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา โดยมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ และมีการโอนเงินหมุนเวียนระหว่างบริษัททั้งในและต่างประเทศอย่างซับซ้อนเพื่ออำพรางธุรกรรม คณะกรรมการฯ จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินประเภทที่ดิน ห้องชุด และหลักทรัพย์ต่างๆ 66 รายการ รวมมูลค่าสูงถึง 9,279 ล้านบาท
กลุ่มที่ 4 คดีนายเอื้ออังกูร กับพวก กลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนประชาชนลงทุนเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max โดยสร้างข้อมูลกำไรเท็จเพื่อจูงใจ ก่อนจะนำเงินที่หลอกลวงได้ไปแปลงเป็นเหรียญดิจิทัล (USDT) ส่งต่อไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 31 รายการ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท
โดยทั้งหมด ปปง.มี คำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไม่เกิน 90 วัน โดยผู้ถูกยึดทรัพย์ ต้องยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ต่อเลขาธิการ ปปง. ได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
ตัวละครที่ถูกยึดทรัพย์รวมหลายหมื่นล้าน หลายคนคุ้นชื่ออย่างดี แต่มีคนหนึ่งที่ถูกโฟกัสว่าเธอเป็นใคร คือ นางสาวแตงไทย เธอกับพวก คือ ยิม เลียก และ เบน สมิธ มีชื่อปรากฏว่าถูก ปปง.ยึดทรัพย์กว่า 9,200 ล้าน
สำนักข่าวอิศรา เผยแพร่ข้อมูลว่า ปปง. ระบุพฤติการณ์ว่า นางสาวแตงไทย กับพวก ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าพบข้อมูลการส่งสินค้า ซึ่งมีสิ่งของผิดกฎหมายจากจังหวัดเชียงรายไปที่ประเทศจีน และผู้เสียหายมียอดเงินในบัญชีธนาคาร ซึ่งเกี่ยวพันกับการฟอกเงินผิดกฎหมายต้องถูกตรวจสอบบัญชีธนาคาร
จากการสืบสวนเส้นทางการเงิน พบข้อมูลว่า นางสาวแตงไทย ได้รับมอบอำนาจให้ทำธุรกรรมเกี่ยวกับบัญชีธนาคารของ นายยิม เลียก เป็นบุคคลใกล้ชิดทายาทเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา เป็นเครือข่ายสแกมเมอร์ ที่หลอกลวงผู้เสียหายเชื่อมโยงกับเส้นทางการเงินของผู้กระทำความผิดมูลฐาน พบข้อมูลการทำธุรกรรมของนางสาวแตงไทย เชื่อมโยงไปยังบุคคลและนิติบุคคลจำนวนมาก รวมทั้งมีข้อมูลการโอนเงินไปยัง นายเบน สมิธ มีการโอนเงินไปมาระหว่างบริษัทต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เสมือนว่ามีการดำเนินธุรกิจ และใช้บริษัทในการถือครองทรัพย์สินแทนตนเอง และบุคคลใกล้ชิด เป็นการทำธุรกรรมทางการเงินและการถือครองทรัพย์สินในลักษณะที่มีความซับซ้อนสูง
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา สืบค้นข้อมูลพบว่า นางสาวแตงไทย มีที่อยู่ตามภูมิลำเนา เป็นชาว ต.พิกุลออก อ.บ้านนา จ.นครนายก โดยผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราโทรศัพท์ติดต่อไปยัง นางสาวแตงไทย เพื่อขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีถูก ปปง.ออกคำสั่งอายัดทรัพย์พร้อมกับพวก รวมมูลค่าประมาณ 9,279 ล้านบาท ดังกล่าว พบว่านางสาวแตงไทย ปฏิเสธที่จะยังไม่ขอให้สัมภาษณ์ โดยระบุว่า เพิ่งทราบข่าวในช่วงเช้าวันนี้ (3 ธ.ค.2568) ไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อน ยังไม่มีใครเคยติดต่อมา
เมื่อถามว่า ทรัพย์สินที่ถูกออกคำสั่งอายัดมีมูลค่าประมาณ 9,279 ล้านบาท นางสาวแตงไทย ตอบว่า ยังไม่ทราบเรื่อง ขอดูรายละเอียดก่อน ทั้งนี้นางสาวแตงไทย ไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับ นายยิม เลียก และ นายเบน สมิธ
สำหรับข้อมูลทางธุรกิจของ นางสาวแตงไทย นั้น สำนักข่าวอิศรา เคยรายงานว่า มีชื่อเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับ นายสหชัย หรือ เสี่ยโจ้ ผู้กว้างขวางชายแดนใต้หลายแห่ง
นอกจากนี้ ยังปรากฏชื่อ นางสาวแตงไทย เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทรับแลกเหรียญเงินตราต่างประเทศ ด้วย แต่จะเป็นคนเดียวกับที่ ปปง.ระบุว่า เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์และฟอกเงินข้ามชาติ ที่มีฐานปฏิบัติการใหญ่อยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชา หรือไม่ยังไม่สามารถยืนยันได้