10 มกราคม 2566 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงนางสาวนารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ผ่านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอข้อเท็จจริงและให้เร่งดำเนินการตามกฎหมายและจริยธรรมอย่างเคร่งครัด
จากกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานอัยการและเจ้าพนักงานตำรวจเป็นคณะทำงานคดีอาญา นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีน กับพวกผู้ต้องหา สำนวนคดีอาญา ที่ 794/2565 และที่ 824/2565 โดยกลุ่มผู้ต้องหาเป็นคนจีนแปลงสัญชาติไทยและผู้มีอิทธิพลที่อยู่ในความสนใจของประชาชน โดยมีการตรวจยึดทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหาได้จำนวนมากนั้น จึงขอสอบถามข้อเท็จจริงดังนี้
1.กรณีนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ได้แต่งตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างอัยการกับตำรวจ ซึ่งมีอัยการจำนวน 7-8 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานบุคคลและหลักฐานต่าง ๆ ส่งมอบให้อัยการเพื่อสอบปากคำ กระบวนการทำงานพบว่า มีอัยการผู้ปฏิบัติงานไม่เพียงพอหรือไม่สัมพันธ์กับจำนวนพยานบุคคลที่มีจำนวนมาก ต้องรออัยการ ทำให้เกิดความล่าช้าและอาจขาดประสิทธิภาพ
เนื่องจากคดีนี้ เกี่ยวข้องกับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาอี, เฮโรอีน) อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า กระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป
สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำ ความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและยินยอมหรือปล่อยปละให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดภายในสถานบริการ และมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยกลุ่มผู้ต้องหาเป็นกลุ่มจีนสีเทา ผู้มีอิทธิพลที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และมีการตรวจยึดทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหาได้จำนวนมากอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ดังนั้น เพราะเหตุใด นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน จึงแต่งตั้งอัยการจำนวนเพียง 7-8 คน เป็นคณะทำงานสอบสวน เพียงเท่านี้เป็นคณะทำงานสอบสวน และเพราะเหตุใดไม่แต่งตั้งอัยการสำนักงานการสอบสวนทั้งหมดเป็นคณะทำงานสอบสวนเพื่อความสะดวกรวดเร็วและรอบคอบในการทำงาน
2.มีข่าวว่าเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ช่วงเย็น พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้จัดซุ้มอาหารจำนวนหลายร้านเพื่อเลี้ยงฉลองในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2566 ให้กับคณะพนักงานอัยการ ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ชั้น 6 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ จริงหรือไม่ ถ้าจริง จะเป็นการกระทำที่ผิดประมวลจริยธรรม หรือความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่
รวมทั้งจริยธรรมตำรวจ อัยการ เจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เนื่องจากอัยการมีหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่การที่อัยการรับการจัดเลี้ยงอาหารจาก ผบช.น. ในฐานะเจ้าพนักงานผู้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ ตามกฎหมายแล้วจะมีความโปร่งใสยุติธรรมหรือไม่
ดังนั้นขอให้ตรวจสอบเหตุการณ์นี้จากกล้องวงจรปิด และสอบถามพยานบุคคลจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พนักงานอัยการที่อยู่ภายในสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุดในวันและเวลาดังกล่าว
3.ตามข่าวลงวันที่ 5 มกราคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง เปิดฉากด้วยการถือตะเกียงเปรียบเทียบว่า "บ้านเมืองอยู่ในความมืดมิดไร้ความหวัง ไร้ผู้นำ ในการให้ความยุติธรรม ทั้งยังปักเทียนเปรียบเทียบว่า ผบ.ตร. และอัยการกำลังนั่งเทียนทำสำนวนคดี ทั้งที่พยานหลักฐานไม่แน่นหนาสำนวนอ่อน สังเกตได้จากการแถลงข่าวที่สำนักงานอัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ"
การที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในฐานะประชาชนที่ออกมาเปิดเผยพร้อมหลักฐานบางส่วนว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการไม่รัดกุม ไม่เป็นธรรมถึงกับต้องแจกเทียนไขและถือตะเกียงส่องทางให้ตำรวจและอัยการ เป็นการแสดงให้เห็นว่าประชาชนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมชั้นการสอบสวนอย่างร้ายแรง สำนักงานอัยการสูงสุดจะดำเนินการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไร
4.ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนแถลงข่าวว่า "ตรวจสอบสำนวนโดยละเอียดพบว่าพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในแนวทางที่ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ดีทุกอย่าง" เหตุใดจึงรีบด่วนสรุปเช่นนั้น มีเหตุผลพิเศษอย่างไร จะสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมชั้นอัยการให้กับประชาชนได้หรือไม่ ขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาดำเนินการดังนี้
ภายหลังยื่นเอกสาร นายวัชระ เปิดเผยว่า การยื่นเอกสารหลักฐานดังกล่าวให้อัยการสูงสุดแล้ว ในวันที่ 11 มกราคม นี้ เวลาประมาณ 11.00 น.ตนจะไปยื่นหลักฐานทั้งหมดนี้ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล และจะได้เปิดเผยหลักฐานต่างๆต่อสื่อมวลชนด้วย