svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

กรมการแพทย์ เปิดแนวทางรักษา “ฝีดาษลิง” ผู้ป่วยเข้าข่าย รพ.ต้องรับไว้ทุกราย

26 กรกฎาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กรมการแพทย์ เผยแนวทางการรักษา “ฝีดาษลิง” เผยเป็นโรคใหม่ของไทย เพิ่มพบผู้ป่วยรายแรกเมื่อ 21 ก.ค.65 จำเป็นต้องจัดทำแนวทางรักษาให้ชัดเจน กรอบเบื้องต้นกำหนด “ผู้เข้าข่ายสงสัยต้องรับเข้าไว้ในรพ.ทุกราย” แม้โรคไม่รุนแรง

26 กรกฎาคม 2565 กรมการแพทย์ จัดเสวนาแนวทางการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรค ฝีดาษวานร หรือ ฝีดาษลิง โดย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์  กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO จัดให้โรค ฝีดาษวานร หรือ ฝีดาษลิง เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยมี 3 ข้อพิจารณา คือ

 

  • 1. เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น 
  • 2. เป็นความเสี่ยงด้านสาธารณสุข เนื่องจากการแพร่กระจายของโรคระหว่างประเทศ
  • 3. ต้องใช้ความร่วมมือประสานกันระหว่างประเทศในการควบคุมโรค 

 

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมของคณะกรรมการวิชาการของ WHO ไม่ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประกาศ แต่มีข้อโตแย้งกัน ซึ่ง WHO จึงใช้ดุลยพินิจบอกว่าควรจะประกาศเป็นภาวะฉุกเฉิน

 

“ การประกาศภาวะฉุกเฉินของฝีดาษลิง แม้จะสถานะเดียวกันกับโควิด 19 แต่ความรุนแรงของตัวโรคไม่เท่ากัน  โดยทั่วไปฝีดาษลิง ความรุนแรงไม่ค่อยรุนแรง และมักจะหายเอง เพราะฉะนั้นในด้านความรุนแรง แตกต่างจากโควิด 19 แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในการควบคุมโรค WHOจึงประกาศภาวะฉุกเฉิน ทั้งนี้ จากผู้ป่วยในอเมริกาและยุโรป ในการระบาดรอบนี้ ยังไม่มีผู้เสียชีวิต  หากไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว อาจจะไม่มีอะไรมาก ”นพ.สมศักดิ์กล่าว

 

กรมการแพทย์ เปิดแนวทางรักษา “ฝีดาษลิง” ผู้ป่วยเข้าข่าย รพ.ต้องรับไว้ทุกราย

 

นพ.สมศักดิ์  กล่าวด้วยว่า  สำหรับแนวทางการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันมีการวางกรอบไว้เบื้องต้น หลักการเดียวกับกรณีมีโรคติดต่อที่ไม่รู้จักที่มาใหม่ เมื่อมีผู้ป่วยเข้าข่ายสงสัยเข้ามารับบริการที่รพ. แม้โรคนี้ไม่ได้แนะนำว่าต้องรับเข้าไว้รักษาในรพ.ทุกราย  แบบเดียวกันทั่วโลกทั้งอเมริกาและยุโรป

แต่ในส่วนของประเทศไทย ระยะแรกเบื้องต้นอาจจะแนะนำให้รับไว้ในโรงพยาบาลทุกรายก่อน จนกว่าจะทราบผลยืนยันจากห้องแล็ป  เพื่อให้การสอบสวนโรคชัดเจนขึ้น ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการหลบหนีเหมือนกรณีชายไนจีเรีย อีกทั้งโรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง ไม่ใช่โรคติดต่ออันตราย จึงไม่สามารถไปใช้อำนาจของกฎหมายอื่นในการควบคุมตัวไม่ได้

 

ด้านแนวทางการดูแลรักษาโรคฝีดาษลิง พญ.นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมการแพทย์ กล่าวว่า ในวันที่ 26 ก.ค.2565 กรมการแพทย์ เตรียมหารือกับ รพ. คลินิกผิวหนัง เพื่อประชุมแนวทางการรักษาพยาบาลโรคฝีดาษลิง เนื่องจากโรคนี้ถือว่าเป็นโรคใหม่สำหรับประเทศไทย แต่เป็นโรคเดิมประจำถิ่นในแอฟริกา 

 

กรมการแพทย์ เปิดแนวทางรักษา “ฝีดาษลิง” ผู้ป่วยเข้าข่าย รพ.ต้องรับไว้ทุกราย

 

ฝีดาษลิง ถือเป็น DNA VIRUS  ติดต่อเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย น้ำในตุ่มฝีหนอง น้ำเหลือง หรือ น้ำต่างๆของร่างกาย ระยะฟักเชื้อ 7-21 วัน หรือประมาณ 3 สัปดาห์ โดยตุ่มที่เกิดขึ้นตามร่างกาย สามารถขึ้นได้ทั่วตัว

 

สำหรับการเกิด ตุ่ม มี 4 ระยะ คือ 

  • ระยะที่ 1 มีตุ่มแดงขึ้น  
  • ระยะที่ 2 ตุ่มพัฒนากลายเป็น ตุ่มนูน 
  • ระยะที่ 3 ตุ่มกลายเป็นหนอง 
  • ระยะที่ 4 ตุ่มแตก 

 

สำหรับการแพร่เชื้อและติดต่อจะเกิดในระยะที่ 3 และ  4  โดยทั่วไปโรคนี้สามารถหายได้เอง หรือใช้การรักษาตามอาการ สำหรับคนที่จะมีอาการรุนแรง ได้แก่ คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ  รับประทานยากดภูมิในคนรักษามะเร็ง หรือ ปลูกถ่ายอวัยวะ  เด็กเล็กอายุต่ำว่า 8 ปี  และหญิงตั้งครรภ์

 

โรคฝีดาษลิง  มีไข้ ปวดเมื่อยศีรษะตามร่างกาย ปวดหลัง และอาการเด่นชัดต่อมน้ำเหลืองโต  รักษาเน้นประคับประคอง จัดอยู่ในกลุ่มโรคที่มีลักษณะของตุ่มน้ำตามผิวหนัง ใกล้เคียงหลายโรค  ซึ่งแนวทางการแยกโรค จะมีการประชุมของกรมการแพทย์ และสรุปส่งให้ทาง EOCกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาต่อไป ” พญ.นฤมล กล่าว

 

กรมการแพทย์ เปิดแนวทางรักษา “ฝีดาษลิง” ผู้ป่วยเข้าข่าย รพ.ต้องรับไว้ทุกราย

ขณะที่ พญ.ชรัฐพร จิตรพีระ ผู้แทนกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า  สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูล ณ วันที่ 24 ก.ค.2565 ทั่วโลกมีรายงานผู้ป่วยยืนยันตั้งแต่ 7 พ.ค.2565 จำนวน  16,314 ราย จาก  71 ประเทศ เพิ่มขึ้นราวสัปดาห์ละ 3,000-4,000 ราย ส่วนใหญ่จะเจอแถบยุโรปที่เป็นต้นตอของการระบาดในรอบนี้ และทวีปอเมริกาเหนือและใต้  ส่วนแนวโน้มแถบแอฟริกามีรายงานผู้ป่วยตลอดดเวลาเพราะเป็นโรคประจำถิ่น ส่วนทิศทางในยุโรปเริ่มเป็นขาลงแต่อเมริกายังมีผู้ป่วยมากขึ้น ส่วนประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยยืนยัน 1 ราย เป็นชายชาวไนจีเรีย 


ข้อมูลทางระบาดวิทยาของผู้ป่วยฝีดาษลิงที่มีการระบาดรอบนี้  ณ วันที่ 22 ก.ค.2565 ส่วนใหญ่ผู้ป่วยในการระบาดครั้งนี้ 77.2 % เป็นผู้ป่วยชายอายุระหว่าง  18-44 ปี  จากข้อมูล 10,141 รายที่มีข้อมูลสมบูรณ์ของอายุ พบว่า มีผู้ป่วยอายุน้อยกว่า  17 ปี จำนวน 72 ราย โดยมี 23 ราย อายุน้อยกว่า  4 ปี   เป็นการบอกว่ามีการติดไปในเด็กด้วย


ส่วนประวัติอื่นๆ  เรื่องรสนิยมทางเพศ จากข้อมูล 3,506 รายที่มีความสมบูรณ์ของตัวแปรนี้  พบว่า  98.1 % ระบุว่าเป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย(MSM) ในผู้ป่วยที่เคยตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี พบว่า  39.6 % มีผลบวกต่อเอชไอวี  ผู้ป่วย 253 รายเป็นบุคลากรทางการแพทย์แต่ส่วนใหญ่ติดมาจากในชุมชน สถานที่ที่น่าจะเป็นแหล่งการติดเชื้อ เป็นปาร์ตี้ที่มีกิจกรรมสัมผัสทางเพศ 42.6%

 

“การระบาดในครั้งนี้  ผู้ป่วยไม่ได้มีอาการรุนแรง และยังไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตในการะบาดรอบนี้  ซึ่งอาการและอาการแสดง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีข้อมูลเกี่ยวกับอาการ 6,589 ราย มีอาการผื่น 88 % ส่วนใหญ่เป็นผื่นที่อวัยวะเพศประมาณ 30-40 %  มีไข้ 44 % มีต่อมน้ำเหลืองโต 27 % อ่อนเพลีย 21.1 % ปวดศีรษะ 19.3 %” พญ.ชรัฐพรกล่าว

 

นิยามผู้ป่วยสงสัยโรคฝีดาษลิง คือ ผู้ที่มีอาการ 1.ไข้ หรือให้ประวัติมีไข้ ร่วมกับอาการอย่างน้อย 1 อย่างต่อไปนี้ ได้แก่ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองบวมโต หรือ 2.มีผื่นหรือตุ่มที่ผิวหนัง หรือเคยมีผื่นหรือตุ่มกระจายตามใบหน้า ศีรษะ ลำตัว อวัยวะเพศและรอบทวารหนัก แขน ขา หรือฝ่ามือฝ่าเท้า เป็นผื่นหรือตุ่มลักษณะเป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง หรือตุ่มตกสะเก็ด 

 

ร่วมกับมีประวัติเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา ภายใน  21 วันที่ผ่านมา ดังนี้

1.มีประวัติเดินทางมาจากหรืออาศัยอยู่ในต่างประเทศและแพทย์ให้การวินิจฉัยสงสัยโรคฝีดาษวานร

2.มีประวัติเดินทางไปเข้าร่วมงานหรือกิจกรรมที่เคยมีการรายงานผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง หรือมีอาชีพที่ต้องสัมผัสคลุกคลีกับผู้เดินทางจากต่างประเทศ

3.มีประวัติสัมผัสาสัตว์ฟันแทะ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่มีต้นกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา มีการเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องแล็ป 2 แห่งในระยะแรกเพื่อยืนยันผล

 

 

กรมการแพทย์ เปิดแนวทางรักษา “ฝีดาษลิง” ผู้ป่วยเข้าข่าย รพ.ต้องรับไว้ทุกราย

  

ขอบคุณข้อมูล : รุงเทพธุรกิจ

logoline