26 กรกฎาคม 2565 กรมการแพทย์ จัดเสวนาแนวทางการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรค ฝีดาษวานร หรือ ฝีดาษลิง โดย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO จัดให้โรค ฝีดาษวานร หรือ ฝีดาษลิง เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยมี 3 ข้อพิจารณา คือ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมของคณะกรรมการวิชาการของ WHO ไม่ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประกาศ แต่มีข้อโตแย้งกัน ซึ่ง WHO จึงใช้ดุลยพินิจบอกว่าควรจะประกาศเป็นภาวะฉุกเฉิน
“ การประกาศภาวะฉุกเฉินของฝีดาษลิง แม้จะสถานะเดียวกันกับโควิด 19 แต่ความรุนแรงของตัวโรคไม่เท่ากัน โดยทั่วไปฝีดาษลิง ความรุนแรงไม่ค่อยรุนแรง และมักจะหายเอง เพราะฉะนั้นในด้านความรุนแรง แตกต่างจากโควิด 19 แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในการควบคุมโรค WHOจึงประกาศภาวะฉุกเฉิน ทั้งนี้ จากผู้ป่วยในอเมริกาและยุโรป ในการระบาดรอบนี้ ยังไม่มีผู้เสียชีวิต หากไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว อาจจะไม่มีอะไรมาก ”นพ.สมศักดิ์กล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันมีการวางกรอบไว้เบื้องต้น หลักการเดียวกับกรณีมีโรคติดต่อที่ไม่รู้จักที่มาใหม่ เมื่อมีผู้ป่วยเข้าข่ายสงสัยเข้ามารับบริการที่รพ. แม้โรคนี้ไม่ได้แนะนำว่าต้องรับเข้าไว้รักษาในรพ.ทุกราย แบบเดียวกันทั่วโลกทั้งอเมริกาและยุโรป
แต่ในส่วนของประเทศไทย ระยะแรกเบื้องต้นอาจจะแนะนำให้รับไว้ในโรงพยาบาลทุกรายก่อน จนกว่าจะทราบผลยืนยันจากห้องแล็ป เพื่อให้การสอบสวนโรคชัดเจนขึ้น ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการหลบหนีเหมือนกรณีชายไนจีเรีย อีกทั้งโรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง ไม่ใช่โรคติดต่ออันตราย จึงไม่สามารถไปใช้อำนาจของกฎหมายอื่นในการควบคุมตัวไม่ได้
ด้านแนวทางการดูแลรักษาโรคฝีดาษลิง พญ.นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมการแพทย์ กล่าวว่า ในวันที่ 26 ก.ค.2565 กรมการแพทย์ เตรียมหารือกับ รพ. คลินิกผิวหนัง เพื่อประชุมแนวทางการรักษาพยาบาลโรคฝีดาษลิง เนื่องจากโรคนี้ถือว่าเป็นโรคใหม่สำหรับประเทศไทย แต่เป็นโรคเดิมประจำถิ่นในแอฟริกา
ฝีดาษลิง ถือเป็น DNA VIRUS ติดต่อเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย น้ำในตุ่มฝีหนอง น้ำเหลือง หรือ น้ำต่างๆของร่างกาย ระยะฟักเชื้อ 7-21 วัน หรือประมาณ 3 สัปดาห์ โดยตุ่มที่เกิดขึ้นตามร่างกาย สามารถขึ้นได้ทั่วตัว
สำหรับการเกิด ตุ่ม มี 4 ระยะ คือ
สำหรับการแพร่เชื้อและติดต่อจะเกิดในระยะที่ 3 และ 4 โดยทั่วไปโรคนี้สามารถหายได้เอง หรือใช้การรักษาตามอาการ สำหรับคนที่จะมีอาการรุนแรง ได้แก่ คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ รับประทานยากดภูมิในคนรักษามะเร็ง หรือ ปลูกถ่ายอวัยวะ เด็กเล็กอายุต่ำว่า 8 ปี และหญิงตั้งครรภ์
“โรคฝีดาษลิง มีไข้ ปวดเมื่อยศีรษะตามร่างกาย ปวดหลัง และอาการเด่นชัดต่อมน้ำเหลืองโต รักษาเน้นประคับประคอง จัดอยู่ในกลุ่มโรคที่มีลักษณะของตุ่มน้ำตามผิวหนัง ใกล้เคียงหลายโรค ซึ่งแนวทางการแยกโรค จะมีการประชุมของกรมการแพทย์ และสรุปส่งให้ทาง EOCกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาต่อไป ” พญ.นฤมล กล่าว
ขณะที่ พญ.ชรัฐพร จิตรพีระ ผู้แทนกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูล ณ วันที่ 24 ก.ค.2565 ทั่วโลกมีรายงานผู้ป่วยยืนยันตั้งแต่ 7 พ.ค.2565 จำนวน 16,314 ราย จาก 71 ประเทศ เพิ่มขึ้นราวสัปดาห์ละ 3,000-4,000 ราย ส่วนใหญ่จะเจอแถบยุโรปที่เป็นต้นตอของการระบาดในรอบนี้ และทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ส่วนแนวโน้มแถบแอฟริกามีรายงานผู้ป่วยตลอดดเวลาเพราะเป็นโรคประจำถิ่น ส่วนทิศทางในยุโรปเริ่มเป็นขาลงแต่อเมริกายังมีผู้ป่วยมากขึ้น ส่วนประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยยืนยัน 1 ราย เป็นชายชาวไนจีเรีย
ข้อมูลทางระบาดวิทยาของผู้ป่วยฝีดาษลิงที่มีการระบาดรอบนี้ ณ วันที่ 22 ก.ค.2565 ส่วนใหญ่ผู้ป่วยในการระบาดครั้งนี้ 77.2 % เป็นผู้ป่วยชายอายุระหว่าง 18-44 ปี จากข้อมูล 10,141 รายที่มีข้อมูลสมบูรณ์ของอายุ พบว่า มีผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 17 ปี จำนวน 72 ราย โดยมี 23 ราย อายุน้อยกว่า 4 ปี เป็นการบอกว่ามีการติดไปในเด็กด้วย
ส่วนประวัติอื่นๆ เรื่องรสนิยมทางเพศ จากข้อมูล 3,506 รายที่มีความสมบูรณ์ของตัวแปรนี้ พบว่า 98.1 % ระบุว่าเป็นชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย(MSM) ในผู้ป่วยที่เคยตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี พบว่า 39.6 % มีผลบวกต่อเอชไอวี ผู้ป่วย 253 รายเป็นบุคลากรทางการแพทย์แต่ส่วนใหญ่ติดมาจากในชุมชน สถานที่ที่น่าจะเป็นแหล่งการติดเชื้อ เป็นปาร์ตี้ที่มีกิจกรรมสัมผัสทางเพศ 42.6%
“การระบาดในครั้งนี้ ผู้ป่วยไม่ได้มีอาการรุนแรง และยังไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตในการะบาดรอบนี้ ซึ่งอาการและอาการแสดง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีข้อมูลเกี่ยวกับอาการ 6,589 ราย มีอาการผื่น 88 % ส่วนใหญ่เป็นผื่นที่อวัยวะเพศประมาณ 30-40 % มีไข้ 44 % มีต่อมน้ำเหลืองโต 27 % อ่อนเพลีย 21.1 % ปวดศีรษะ 19.3 %” พญ.ชรัฐพรกล่าว
นิยามผู้ป่วยสงสัยโรคฝีดาษลิง คือ ผู้ที่มีอาการ 1.ไข้ หรือให้ประวัติมีไข้ ร่วมกับอาการอย่างน้อย 1 อย่างต่อไปนี้ ได้แก่ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองบวมโต หรือ 2.มีผื่นหรือตุ่มที่ผิวหนัง หรือเคยมีผื่นหรือตุ่มกระจายตามใบหน้า ศีรษะ ลำตัว อวัยวะเพศและรอบทวารหนัก แขน ขา หรือฝ่ามือฝ่าเท้า เป็นผื่นหรือตุ่มลักษณะเป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง หรือตุ่มตกสะเก็ด
ร่วมกับมีประวัติเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา ภายใน 21 วันที่ผ่านมา ดังนี้
1.มีประวัติเดินทางมาจากหรืออาศัยอยู่ในต่างประเทศและแพทย์ให้การวินิจฉัยสงสัยโรคฝีดาษวานร
2.มีประวัติเดินทางไปเข้าร่วมงานหรือกิจกรรมที่เคยมีการรายงานผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง หรือมีอาชีพที่ต้องสัมผัสคลุกคลีกับผู้เดินทางจากต่างประเทศ
3.มีประวัติสัมผัสาสัตว์ฟันแทะ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่มีต้นกำเนิดมาจากทวีปแอฟริกา มีการเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องแล็ป 2 แห่งในระยะแรกเพื่อยืนยันผล
ขอบคุณข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ