วันนี้ (19 ก.ค.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางเข้าสอบปากคำ พ.ต.อ.ราเมศ แก้วสูงเนิน ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.แม่ฮ่องสอน ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกง หลังแอบอ้างว่าสนิทกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ลวงผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้ต้องกักชาวต่างชาติว่า สามารถช่วยเหลือทางคดี และสามารถประกันตัวผู้ต้องกักได้ โดยมีการเรียกรับเงินจำนวน 6 ล้านบาท
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 65 ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสามารถจับกุมตัว นาย Ritesh Patel ชาวอังกฤษ ผู้ต้องหาตามหมายจับสากลคดีเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยใช้พาสปอร์ตปลอมในชื่อ นาย Bret Blake Webber สัญชาติอังกฤษ ทางการของประเทศอังกฤษมีความประสงค์ให้ส่งตัวกลับประเทศเพื่อดำเนินคดี ทาง สตม.จึงต้องทำการกักตัวไว้ ที่ กก.3 บก.สส.สตม.
ต่อมาได้มี น.ส.ธิรวรรณ์ เขียวงาม ผู้เสียหายได้ขอเข้าประกันตัวผู้ต้องกัก แต่ไม่สามารถขอประกันตัวได้ ผู้เสียหายจึงขอความช่วยเหลือไปยังนายธนัญวัธน์ ธนันธัญภัทรน์ ซึ่งรู้จักกับนายวิทยา สมศรีษมสกุล และนายวิทยาอ้างว่า รู้จักกับ พ.ต.อ.ราเมศ นักเรียนนายร้อยรุ่น 47 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และมั่นใจว่า จะสามารถช่วยเหลือทำเรื่องประกันตัว นาย Ritesh Patel ได้ ทำให้ผู้เสียหายและนายธนัญวัธน์หลงเชื่อ โดยนายวิทยาแจ้งว่า ต้องมีค่าดำเนินการและชำระเงินในกับนายวิทยาจำนวน 6 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 29 มิ.ย. 65 นายธนัญวัธน์ และนายวิทยา ได้เข้าติดต่อร้อยเวรรักษาการณ์ประจำสถานกักกันคนต่างด้าวเพื่อเข้าพบ นาย Ritesh Patel แต่ร้อยเวรแจ้งว่า ไม่สามารถเข้าพบได้เนื่องจากผิดระเบียบของการเข้าเยี่ยม แต่นายวิทยาได้พยายามให้ร้อยเวรคนดังกล่าวพูดคุยกับบุคคลที่อ้างว่า เป็น พ.ต.อ.ราเมศ ซึ่งเป็นชุดทำงานของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พร้อมทั้งอ้างว่า ผู้ต้องกักทำงานและเป็นสายให้กับตนเอง และพยายามจะเข้าพบผู้ต้องกักให้ได้ ขณะที่ทางด้านร้อยเวรยืนยันว่า ไม่สามารถให้เข้าพบได้เนื่องจากขัดระเบียบปฏิบัติ และให้ติดต่อกับผู้บังคับบัญชาโดยตรง
หลังจากนั้นนายวิทยา ได้แจ้งให้ น.ส.ธิรวรรณ์ และนายธนัญวัธน์ โอนเงินให้ครบจำนวน 6 ล้านบาท เมื่อผู้เสียหายโอนเงินให้ครบตามจำนวน และพยายามติดต่อเรื่องขอประกันตัว กลับพบว่า นายวิทยาพยายามบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จนพักหลังไม่สามารถติดต่อได้แล้ว จึงเข้าร้องทุกข์
จากแนวทางการสืบสวนพบว่า นายวิทยามีการติดต่อกับ พ.ต.อ.ราเมศ ในห้วงเวลาเกิดเหตุจริง มีพยานบุคคลที่สามารถยืนยันได้ว่า ทั้งคู่มีการแอบอ้าง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จริง ส่วนเส้นทางการเงินจำนวน 6 ล้านบาท ได้แบ่งกระจายไปตามบัญชีต่าง ๆ โดยได้มีการโอนเงินให้นายวิทยา 3 แสนบาท ส่วนที่เหลือได้โอนกระจายไปยังคนในครอบครัวของ พ.ต.อ.ราเมศ ประกอบไปด้วย แม่ ลูก และภรรยา ก่อนที่จะโอนกลับเข้ามายังบัญชีของ พ.ต.อ.ราเมศ รวมจำนวนกว่า 5 ล้านบาท
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เบื้องตนได้เข้าไปพูดคุยกับเพื่อร่วมรุ่น เจ้าตัวให้การรับสารภาพ จากการสืบสวนพบว่าครั้งนี้ไม่ใช้ครั้งแรก ผู้ต้องหาเคยมีพฤติการณ์ในลักษณะนี้หลายครั้ง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน แต่ถ้าเพื่อนทำผิดก็ต้องดำเนินคดี เพื่อนดีก็ต้องส่งเสริม เพื่อนไม่ดีก็ไม่ละเว้น ซึ่ง 3 เดือนที่ผ่านมา ตนจับกุมผู้ต้องหาที่แอบอ้างชื่อตนเพื่อกระทำความผิดรายนี้ถือเป็นรายที่ 5
“ไม่ได้รู้สึกกังวลใจ แต่เกรงว่าประชาชนจะหลงเชื่อ จึงฝากบอกประชาชนว่า ถ้าต้องการสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผม สามารถโทรมาได้ที่ สว.นนท์ ตำรวจติดตามที่เบอร์ 064-954-9197 ยืนยันว่า ผมไม่มีพฤติกรรมในการเรียกรับผลประโยชน์ และฝากไปถึงกลุ่มบุคคลที่อ้างชื่อผมในการกระทำความผิดว่าผมจะดำเนินการจับกุมให้หมด”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยืนยันว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และออกหมายเรียกผู้ต้องหา ทั้งผู้หลอกลวง และเจ้าของบัญชีที่รับโอนเงิน รวม 5 คน ประกอบด้วย พ.ต.อ.ราเมศ, นายวิทยา , นายอภิรักษ์ เที่ยงธรรม , นางสาวณัฐนรี บุญมา และ นางสาวทิพย์สุดา อินสองใจ โดยมี พ.ต.อ.ราเมศ ติดต่อขอเข้ามอบตัวเพียง 1 คน ส่วนที่เหลืออีก 4 คนอยู่ระหว่างติดตามตัวมาสอบสวนดำเนินคดี