วันนี้ (28 มิ.ย.) นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ ด้านพัฒนาการเกษตร พรรคไทยสร้างไทยพรรคไทยสร้างไทย แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ของสินค้าราคาแพง โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อการยังชีพ เช่นข้าวสารบรรจุถุง พบว่า มีการฉวยโอกาสขึ้นราคา ทำให้กระทบต่อผู้บริโภค แต่รัฐบาลกลับนิ่งเฉย ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้ที่รับผลกรรมจึงไม่พ้นผู้บริโภค และพี่น้องชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
จากการทำงานของทีมไทยสร้างไทย พบว่าผู้ประกอบการข้าวถุง ได้ประกาศขอขึ้นราคาข้าวหอมมะลิ 30 บาทต่อถุง ข้าวขาว 10 บาทต่อถุง แน่นอนว่าการขึ้นราคาข้าวในระดับนี้ ย่อมกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนคนตัวเล็ก จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์รีบเข้ามาตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้บริโภค ชาวนาและผู้ประกอบการ
นายฉลอง กล่าวเพิ่มเติมว่า ปกติแล้วข้าวหอมมะลิ จะเป็นข้าวนาปีที่กำลังปลูกอยู่ในขณะนี้ และจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ต้นเดือนธันวาคม ดังนั้นข้าวหอมมะลิที่ขายอยู่ในขณะนี้ คือข้าวในฤดูกาลผลิตที่แล้วซึ่งชาวนาขายได้ในราคาต่ำมาก ราคาข้าวเปลือกเพียงกิโลกรัมละ 7 - 9 บาทเท่านั้น แม้จะเป็นข้าวหอมมะลิชั้นดีที่สุด อย่างข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ก็ตาม
ส่วนข้าวขาวที่ชาวนาทำนาปรังกำลังปลูกอยู่นั้น จะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงประมาณเดือน มิ.ย. - ก.ย. และที่ขายหมดไปแล้วก็เป็นข้าวในฤดูกาลผลิตที่แล้วเช่นกัน ซึ่งราคาก็ต่ำมากเพียง 5 - 6 บาทเท่านั้น
พรรคไทยสร้างไทยจึงขอเรียกร้องไปยังกระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งเข้ามาตรวจสอบว่า ที่ประกาศจะมีการขึ้นราคาข้าวหอมมะลิ สูงถึงถุงละ 30 บาทและข้าวขาวถุงละ 10 บาท โดยอ้างว่าต้องซื้อข้าวเข้ามาใหม่นั้น ข้อเท็จจริงคือชาวนาไม่มีข้าวเหลือให้ขายแล้ว ข้าวส่วนใหญ่อยู่ในมือโรงสีและพ่อค้าข้าวไปหมดแล้ว เท่ากับว่าราคาข้าวที่ขึ้นชาวนาไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงเลย แต่ผู้บริโภคกลับต้องรับภาระราคาข้าวหอมมะลิที่สูงขึ้นถึงถุงละ 30 บาทกับข้าวขาวถุงละ 10 บาท จึงต้องตั้งคำถามไปถึงผู้มีอำนาจว่ากำไรในส่วนดังกล่าวตกอยู่ในมือใคร