การที่ซัลวาดอร์ รามอส ซื้อของขวัญวันเกิดอายุครบ 18 ปี ของตัวเองเป็นอาวุธปืน AR-15 ถึง 2 กระบอก ทำให้ชื่อของอาวุธชนิดนี้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง และต่อไปนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธชนิดนี้
- ทำไมถึงอันตราย
AR-15 ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ ที่หมายความว่าผู้ใช้สามารถยิงได้ครั้งละหลายนัดติดต่อกันอย่างรวดเร็ว มีการเปรียบเทียบว่า AR-15 คือเครือญาติของ M-16 ที่รับใช้กองทัพสหรัฐฯ ตั้งแต่ยุคสงครามเวียดนาม แต่การที่ M-16 เป็นอาวุธสงครามอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ทำให้ต้องห้ามสำหรับพลเรือน และ AR-15 คือทางเลือก แต่ก็ยังได้ชื่อว่า ยิงกระสุนได้ด้วยความเร็วสูงเป็น 3 เท่าของปืนพก มีความแม่นยำระยะไกลและทำให้เกิดบาดแผลที่กว้าง ทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะภายใน
AR ย่อมาจาก "Armalite Rifle" ซึ่งเป็นชื่อของบริษัท Armalite ที่เป็นผู้ออกแบบต้นฉบับเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1959 และในขณะที่ปืนลูกซองทำให้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ จำนวนมากในแต่ละปี AR-15 ก็คืออาวุธปืนยอดนิยมที่คนร้ายใช้ในเหตุกราดยิงหรือสังหารหมู่
- ใช้ง่ายและราคาถูก
การจะซื้อปืน AR-15 สักกระบอก เป็นเรื่องที่ง่ายดายในสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับว่าอาศัยอยู่ในรัฐไหน โดย สามารถเดินเข้าไปร้านขายปืนโชว์บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังไม่หมดอายุก็สามารถซื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นปืนลูกซองหรือปืน AR-15 ขอเพียงผ่านการตรวจสอบประวัติภูมิหลังจากหน่วยงานในสังกัดรัฐบาลกลางที่เป็นขั้นตอนบังคับเท่านั้น เพื่อดูว่าผู้ซื้อมีประวัติอาชญากรรมหรือเป็นผู้ป่วยทางจิตหรือไม่
แต่กระบวนการนี้อาจไม่เกิดขึ้น กรณีที่เป็นการซื้อขายกันเป็นการส่วนตัว ส่วนรามอสถูกระบุว่าซื้อ AR-15 จำนวน 2 กระบอก กับกระสุนอีกหลายร้อยนัดโดยถูกกฎหมาย แม้นสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (NRA) จะพยายามโน้มน้าวว่าปืนไรเฟิลมีเอาไว้สำหรับการฝึกยิงเป้าเพื่อสันทนาการ และการป้องกันตัวที่บ้าน แต่นักเคลื่อนไหวก็โต้แย้งว่าการเป็นอาวุธสังหาร ย่อมหมายความว่าไม่ควรไปตกอยู่ในมือพลเรือน
เหตุผลที่ AR-15 ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ ก็คือ สามารถปรับแต่งได้หลายอย่าง ตั้งแต่ติดกล้อง (scopes) ขยายความจุแม็กกาซีน และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ได้อีก
สำนักงานแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืนและระเบิด ระบุว่าไม่รู้ว่ามีอาวุธปืนจู่โจมมากน้อยเพียงใดในสหรัฐฯ เพราะกฎหมายรัฐบาลกลางห้ามเก็บฐานข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปืน แต่ข้อมูลของ National Shooting Sports Foundation ระบุว่า มีปืนไรเฟิลมากกว่า 16 ล้านกระบอก ที่ถูกขายให้สาธารณชนในสหรัฐฯ เมื่อปี 2561