เมื่อวานนักข่าวถามนักการเมืองฝั่งรัฐบาล ตั้งแต่นายกฯ ถึงคีย์แมนในพรรคแกนนำอย่างพลังประชารัฐ ปรากฏว่าไม่มีใครรู้เรื่อง "กล้วย" ตลอดจน "เงินซื้อ ส.ส. 5-30 ล้าน" เลยแม้แต่คนเดียว
แต่ดูเหมือนสังคมจะเชื่อว่ามีปรากฏการณ์ซื้อ ส.ส.แลกโหวต หรือ "เจอ-จ่าย-จบ" เกิดขึ้นจริงในการเมืองไทยยุคนี้ เหตุผลก็คือ
1.รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ เสียงสนับสนุนไม่เป็นเอกภาพ ทำให้น่าเชื่อว่ามีการเสนอผลประโยชน์แลกกับการโหวตสนับสนุนฝ่ายตน (เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล / ฝ่ายค้านก็เพื่อคว่ำ ฝ่ายรัฐบาลก็เพื่ออยู่ต่อ หรือต่อชีวิตทางการเมือง)
2.ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องให้มีพรรคเล็กพรรคน้อย และทำให้เกิดรัฐบาลผสม โดยไม่มีพรรคใหญ่พรรคใดชนะอย่างเด็ดขาด ทำให้สภาพทางการเมืองเอื้อต่อการจ่ายเงินแลกโหวต
3.มีข่าวออกมาอย่างครึกโครมว่า มีการใช้เงินใช้ทองในการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ปีที่แล้ว ถึงขั้นที่มี ส.ส.ร้องเรียนกลางสภา จนต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ และมีการส่งเรื่องให้องค์กรอิสระไต่สวนกันต่อ
4.อดีตเลขาธิการพรรคแกนนำรัฐบาล คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้เองตั้งแต่ตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นเลขาธิการพรรค ว่า มีหน้าที่ดูแลพรรคเล็ก และตอบสนองความต้องการของพรรคเล็ก คล้ายๆ เป็น "คนเลี้ยงลิง" ที่ต้องคอยป้อนกล้วยให้ลิง โดยจากคำสัมภาษณ์นี้จึงทำให้เกิด "ศัพท์แสลงทางการเมือง" ว่าด้วย "กล้วย" แทนผลประโยชน์ในรูปตัวเงินที่มอบให้ ส.ส.
5.สืบเนื่องจากข้อ 4 เรื่องกล้วย เรื่องเงิน ไม่ได้เพิ่งถูกพูดถึงในขณะนี้ แต่ฮือฮามาตั้งแต่ตั้งรัฐบาลใหม่ๆ แล้ว และพูดกันมาตลอด แต่กลับไม่มีการตรวจสอบหรือจัดการใดๆ
6.ในอดีต ยุคก่อนรัฐธรรมนูญปี 40 ที่เอื้อให้พรรคใหญ่แข็งแกร่ง จนตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ หรือเป็นรัฐบาลผสมน้อยพรรค เคยมีข่าว ส.ส.แอบจ่ายเงิน หรือรับเงินกันตามห้องน้ำสภา จนเป็นข่าวครึกโครมในอดีต
สรุปก็คือเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ทำไมนักการเมืองหลายคน พูดเหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้คงต้องให้สังคมตัดสินดูว่า "ใครพูดจริง ใครพูดเท็จกันแน่"