ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาเปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดและการคาดการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ผ่านทางเพจเฟซบุ๊กของมหาวิทยาลัยมหิดล
ทาง นพ.ประสิทธิ์ เปิดเผยว่า สายพันธุ์ของโควิด-19 ที่ยังครองโลกของเราในขณะนี้ คือ "สายพันธุ์โอมิครอน" เป็นหลัก รองลงมา คือ "สายพันธุ์เดลต้า" ซึ่งมีหลงเหลือเพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้น
จากข้อมูล 2 วันที่ผ่านมา มียอดผู้ติดเชื้อถึง 500 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้แบ่งการระบาดของทั่วโลกออกเป็น 6 ทวีป พบว่า "ทวีปยุโรป" เป็นทวีปที่มีการแพร่ระบาดสูงที่สุด รองลงมา คือ "แอฟริกา" และ "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
แต่สำหรับสายพันธุ์โอมิครอน ยังคงมีสายพันธุ์ย่อยออกมาอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงต้องติดตามในส่วนของสายพันธุ์ย่อยที่ออกมา เช่น สายพันธุ์เอ็กซ์อี (XE) ที่มีความรวดเร็วในการแพร่กระจายมากกว่าเดิมร้อยละ 10 แต่จะไม่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่แนวโน้มของการเป็นโรคประจำถิ่นนั้น สถานการณ์ในเวลานี้การติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศในขณะนี้ ยังไม่เข้าข่ายของการเป็นโรคประจำถิ่น เนื่องจากยังมีโอกาสที่จะกลับมาเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ได้อีก
ส่วนการเปิดเทอมของเด็กนักเรียนในปี 2565 นี้เชื่อว่าไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดในกลุ่มนักเรียนได้ เพราะในเด็กนั้นยังคงมีการระมัดระวังป้องกันการแพร่ระบาดได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ดังนั้นจึงต้องเร่งให้เด็กนักเรียนได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งในขณะนี้มีการฉีดวัคซีนในเด็กไปได้เพียงครึ่งหนึ่งเพียงเท่านั้น สำหรับเข็มหนึ่ง ซึ่งยังถือว่ายังห่างไกลกับเข็ม 2
ที่ผ่านมามีการค้นพบกลุ่มอาการในเด็กที่ติดโควิด-19 และเกิดภาวะการอักเสบขึ้นในหลายๆ อวัยวะ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปกครองจะต้องนำเด็กเข้ารับการฉีดวัคซีน
และวัคซีนที่ประเทศไทยมี ในขณะนี้ ก็ถือว่ามีความปลอดภัยมากเพียงพอ ซึ่งการเรียนทางไกลถือว่าไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และแม้โอกาสการป้องกันการติดเชื้อจะค่อนข้างยากในเด็ก ทำให้การฉีดวัคซีนถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่จะต้องดำเนินการก่อนการเปิดภาคเรียนที่จะถึงนี้
ประเด็นการยกเลิก Test & Go ถือว่า ยังคงมีความน่ากังวลใจ แต่การยกเลิก Test & Go ก็ยังมีเงื่อนไขที่จะไม่มีการ test นักท่องเที่ยวที่มีการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม ซึ่งต้องไม่เกิน 3 เดือนอีกด้วย ซึ่งทำให้โอกาสที่จะกระจายเชื้อเป็นไปได้น้อย แต่ในกรณีที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบหรือไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ก็ยังคงต้องได้รับการ Test & Go หรือเข้ารับการ qualantine เช่นเดิม
หาก รัฐบาล ดำเนินการอย่างเข้มงวดและเคร่งครัด ก็จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาด จากการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้ ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดในเวลานี้ พบว่าการติดเชื้อจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ถือว่ามีสัดส่วนน้อยกว่าการติดเชื้อภายในครอบครัวของทุกคนภายในประเทศ ซึ่งเชื่อว่าหากใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือน ก็จะสามารถทราบผลว่าออกไปในแนวทิศทางใด
ท้ายที่สุด การป้องกันความเสียหายจากโควิด-19 คือลดโอกาสการติดเชื้อ การแพร่ระบาด และลดความรุนแรงการเสียชีวิตเมื่อเกิดการติดเชื้อ ซึ่งวิธีที่สุดในเวลานี้คือการฉีดวัคซีน 2 เข็มและเข็มกระตุ้น ร่วมกับการใส่หน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลเช่นเดิม ร่วมกับการตรวจ ATK เป็นประจำ
ส่วนการรักษาสายพันธุ์โอมิครอนนั้น จะไม่เน้นการรับรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงต่อความรุนแรง เพื่อให้เตียงโรงพยาบาลว่าง และดูแลรักษาผู้ป่วยที่เจ็บป่วยจากโรคอื่นๆ ที่จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษา
การติดเชื้อโควิค-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นของแต่ละประเทศไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยการบริหารจัดการ จำนวนประชากรที่ได้รับวัคซีนเพียงพอ รวมไปถึงศักยภาพของระบบการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม ที่จะถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะทำให้แต่ละประเทศเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นได้เร็วหรือช้า
สุดท้าย องค์การอนามัยโลกได้มีการออกมาเตือนว่าโควิด-19 ยังไม่เข้าสู่สถานการณ์ของการเป็นโรคประจำท้องถิ่น แม้จะมีแนวโน้มพุ่งไปสู่การเป็นโรคประจำถิ่นก็ตาม และอาจจะเกิดการกลายพันธุ์ และการระบาดใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่ง
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Mahidol University