นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน ขณะนี้ไทยทำทุกวิถีทางแล้วในการรับมือการแพร่ระบาดโควิด19 และไม่ได้กำหนดวันในการเข้าสู่โรคประจำถิ่นแต่เป็นการตั้งเป้าและหลักเกณฑ์ ไว้ อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงสถานการณ์การติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิต รวมไปถึงความพร้อมของยาเวชภัณฑ์และสถานพยาบาล ซึ่งไทยมีความพร้อม โดยขณะนี้อัตราครองเตียงในโรงพยาบาลดลง รวมถึงการใช้อุปกรณ์ห้องICU น้อยลงเช่นเดียวกัน
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตุกรณีที่ระบุว่ายอดผู้ติดเชื้อลดลงเพราะประชาชนไม่ได้เข้าตรวจคัดกรอง นายอนุทิน ตอบว่าถ้าต้องการปรับเป็นโรคประจำถิ่นขอให้มองเรื่องการป่วยหนัก การเสียชีวิตสำคัญกว่าจำนวนผู่ติดเชื้อรายใหม่ เช่นกับประเทศส่วนใหญ่ที่ดำเนินการในขณะนี้
"ถ้าต้องการให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็น 0 ต้องมีมาตรการล็อคดาวซึ่งประชาชนจะรับได้หรือไม่ เพราะมีตัวอย่างประเทศที่ทำการล็อคดาวน์ขณะนี้ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตได้เกิดความเสียหาย ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยทำผ่านจุดนั้นมาแล้ว เรามีประสบการณ์ เราควบคุมได้ และเรามีครบทุกอย่าง ทั้งวัคซีน ยา ที่มีตัวเลือกหลากหลาย"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงว่าตอนนี้ไทยเข้าสู่ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ขาลงแล้วหรือยัง นายอนุทิน ระบุว่า พวกเราทำดีที่สุดแล้ว ส่วนขาลงหรือไม่ยังไม่อยากพูด เพราะกลัวประชาชนจะหย่อนมาตรการ แต่อย่างไรก็ตามอยากให้ประชาชนคงมาตรการป้องกันโควิด19 เหมือนเดิม โดยสุดท้ายความรุนแรงของโรคจะค่อยๆ ลดลงเอง
นอกจากนั้น นายอนุทิน ยังระบุถึงวัคซีนโปรตีนซับยูนิตที่จะนำมาเป็นวัคซีนทางเลือกและจะเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น สำหรับกลุ่มที่แพ้วัคซีนชนิดอื่นโดยมีแผนหารือในการจัดซื้อ จัดหาวัคซีนโปรตีนซับยูนิตในอนาคต
ตอนนี้ประเทศไทย มีการเปิดประเทศ โดยปรับลดขั้นตอนการคัดกรอง เหลือเพียงใช้ผลตรวจ ATK แทน ก็ถือเป็นแนวทางหนึ่งที่เริ่มต้นสู่การปรับให้โควิด19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีแผนกำหนดไว้แล้ว
ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุถึงกรณีที่ 15 จังหวัดสนใจและมีความพร้อมที่จะนำร่องเข้าสู่โรคประจำถิ่นว่า รายละเอียดกรมควบคุมโรคจะเป็นผู้กำหนดแนวทาง ทั้งนี้ 15 จังหวัดเป็นจังหวัดที่มีแนวโน้มที่มีความพร้อม โดยแต่ละจังหวัดมีลักษณะการระบาดแตกต่างกันออกไป บางจังหวัดอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดขาลง บางจังหวัดอยู่ในช่วงการแพราระบาดขาขึ้นหรือทรงตัว