หลังจากมีผู้อพยพหนีภัยสงครามออกจากยูเครนไปแล้วราว 2 ล้านคน และมีรายงานว่าจะมีอีก 2 ล้านคน ที่เตรียมเดินทางออกจากยูเครนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สร้างความกดดันให้อังกฤษประเทศที่อยู่นอกสหภาพยุโรป (EU) และต้องช่วยรับผู้อพยพด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตะวันตกระบุว่า นี่เป็นวิกฤตการอพยพ "ที่ไม่เคยมีมาก่อน" และเป็นวิกฤตที่ใหญ่หลวงที่สุดของยุโรป นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยคาดว่าจำนวนผู้อพยพจะมากถึง 4 ล้านคน เป็นอย่างต่ำ ขณะที่องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (unicef) ระบุว่า มีเด็กรวมอยู่ในผู้อพยพมากถึง 1 ล้านคน
ผู้อพยพระลอกแรกจำนวนมากต้องเผชิญภาวะเนื้อเยื่อถูกทำลายเพราะถูกหิมะกัด (frostbite) จากการเดินฝ่าหิมะและน้ำแข็ง อีกหลายคนมีปัญหาด้านสุขภาพจิต ส่วนผู้อพยพระลอกสองคาดว่าจะเป็นผู้สูงอายุและเปราะบางมากกว่าระลอกแรก ซึ่งหมายความว่าพวกเขายิ่งจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจน พริตี พาเทล รัฐมนตรีมหาดไทย ต้องประกาศตั้งโครงการใหม่ เพื่ออนุญาตให้ผู้ลี้ภัยจากยูเครนสามารถเดินทางสู่อังกฤษได้มากขึ้น โดยนอกจากจะให้ชาวอังกฤษเปิดบ้านให้ผู้อพยพได้เข้ามาพักอาศัยแล้ว ยังจะมีงานให้ทำอีกด้วย
องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงว่า มีรายงานที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว 18 ชิ้น ระบุว่ารัสเซียโจมตีรถพยาบาลหรือโครงสร้างด้านสาธารณสุขในยูเครน ล่าสุดคือโรงพยาบาลสำหรับสตรีตั้งครรภ์และคลอดบุตรในเมืองมาริอูโปลเมื่อวันพุธ ขณะที่พลเรือนหลายแสนคนติดอยู่ในเมือง ในสภาพปราศจากไฟฟ้า อาหาร น้ำดื่มและเวชภัณฑ์ ทำให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงอาหารและปล้นร้านขายยา เพราะบางครอบครัวมีผู้ป่วยเบาหวานและมะเร็งที่ต้องมียาประจำ ทำให้ความเป็นอยู่ของคนที่ยังอยู่ในยูเครนกำลังอยู่ในความยากลำบาก และต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน