วันนี้ (7 ก.พ.) เว็บไซต์ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้เผยแพร่รายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ 31 ธ.ค. 2564 พบว่า มีหนี้ 9,644,256 ล้านบาท คิดเป็น 59.57% ของจีดีพี เทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่สัดส่วนหนี้สาธารณะลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 59.58% ของจีดีพี เนื่องจากมูลค่าจีดีพีมีการปรับเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการคลายล็อกมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้หนี้สาธารณะ 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.- ธ.ค.2564) มีการกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการบริหารหนี้ ถึง 5,874,905 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ในส่วนของการกู้เงิน ภายใต้ พ.ร.ก. COVID-19 พ.ศ. 2563 อยู่ที่ 873,171 ล้านบาท จากกรอบที่ให้กู้ได้ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งกู้ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ เนื่องจากโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวนมากที่ขอเงินกู้ไว้ดำเนินการไม่ทัน ทำให้ต้องคืนเงินกู้กลับไป ขณะที่การกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. COVID-19 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 กู้ไปแล้ว 273,166 ล้านบาท ใกล้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท โดยการกู้เงินจะต้องกู้ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2565
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 64 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการทบทวนกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากเดิมที่กำหนดไว้ ต้องไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี เป็น ต้องไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ทางการคลังให้กับรัฐบาล และไม่เป็นอุปสรรคหากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง โดยยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
และในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 64 ครม. ยังได้รับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐและความเสี่ยงทางการคลัง ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 64 ( 30 ก.ย. 64) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ จำนวน 9.34 ล้านล้านบาท (อ่านรายละเอียด)