รัฐบาลนิคารากัวภายใต้การนำของประธานาธิบดีแดเนียล ออร์เตกา ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.และต้องการให้ไต้หวันอพยพเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกไปภายในวันที่ 23 ธ.ค. แต่รัฐบาลไต้หวันได้มอบสถานทูตให้กับอัครสังฆมณฑลแห่งมานากัวอย่างเร่งรีบ
สื่อของนิคารากัวรายงานอ้างแถลงการณ์ของสำนักงานอัยการว่า การกระทำดังกล่าวเป็นอุบายเพื่อฉกฉวยสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง และรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี แดเนียล ออร์เตกา ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เข้ายึดอาคารและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และส่งมอบให้รัฐบาลจีน โดยให้เหตุผลว่า นิคารากัวยึดหลักการจีนเดียว และไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน นอกจากนี้ทางการนิคารากัวเตือนว่า ผู้ใดอ้างกรรมสิทธิ์อย่างผิดกฎหมายต่อสถานทูตเก่าและทรัพย์สินดังกล่าว จะเผชิญการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
แต่โฆษกกระทรวงต่างประเทศแถลงเมื่อวันจันทร์ว่า ไต้หวันเป็นประเทศอิสระที่มีอธิปไตย ไม่เกี่ยวข้องกับจีน และภายใต้มาตรา 45 ของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทงการทูต รัฐบาลนิคารากัวมีพันธะผูกพันที่ต้องปกป้องทรัพย์สินและเอกสารของสถานทูตไต้หวัน หลังการตัดความสัมพันธ์ทางการทูต
นอกจากนี้ไต้หวันไม่อาจยอมรับได้กับการกระทำของรัฐบาลนิคารากัวที่บุกรุกสถานทูตอย่างผิดกฎหมายและส่งมอบให้จีน และรัฐบาลไต้หวันขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของนิคารากัว พร้อมทั้งท้วงติงว่า การให้เวลาเพียงสองสัปดาห์ในการถอนตัวออกจากสถานทูตไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติและกฎหมายระหว่างประเทศ
ไต้หวันยังชี้แจงด้วยว่า กำหนดเวลาดังกล่าวทำให้ไม่มีเวลาเพียงพอเตรียมตัวปิดสถานทูต จึงตัดสินใจขายสถานทูตให้อัครสังฆมณฑลแห่งมานากัวในราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อมั่นใจว่าทรัพย์สินในสถานทูตจะได้รับการเก็บรักษาไว้
กระทรวงต่างประเทศไต้หวัน เรียกร้องให้ประชาคมโลกร่วมกับไต้หวันประณามพฤติกรรมน่ารังเกียจของทั้งนิคารากัวและจีน และขอให้ทุกฝ่ายช่วยเหลือคริสตจักรนิคารากัวในการต่อสู้เพื่อสิทธิโดยชอบตามกฎหมายในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าว
ไต้หวันเผชิญการโดดเดี่ยวทางการทูตมากขึ้นในปีนี้ โดยบางประเทศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย และหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีนแทน จนขณะนี้มีเพียง 14 ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน