ศาสตราจารย์ซาอูล เฟาสต์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย "NIHR Clinical Research Facility" ของมหาวิทยาลัยเซาท์แธมป์ตัน ที่ได้รับทุนจาก "NHS Foundation Trust" เผยผลการศึกษาล่าสุดที่ชี้ว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นเพื่อป้องกันโควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ที่อุบัติขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยพบว่าภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาตอบสนอง และระดับที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าของ T-cell หรือเซลล์ภูมิต้านทาน ที่มีหน้าหลักในการหาเซลล์ที่ติดเชื้อเพื่อกำจัดหลังได้รับ วัคซีน mRNA เข็ม 3 ไม่ว่าจะเป็นของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา ทำให้สันนิษฐานได้ว่าจะสามารถป้องกันผู้ติดเชื้อ สายพันธุ์โอมิครอน ไม่ให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้
ผลการวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร Lancet หลังทดสอบกับคนที่ได้รับวัคซีนกระตุ้น 2,878 คน ที่อายุ 30 ปีขึ้นไป พบว่ามีวัคซีน 6 ชนิด ที่พิสูจน์ได้ถึงความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการใช้กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 สำหรับคนได้รับวัคซีน 2 เข็มแรก ของแอสตราเซเนกา หรือ ไฟเซอร์ โดยวัคซีนทั้ง 6 ชนิด ได้แก่ แอสตราเซเนกา (AstraZeneca), ไฟเซอร์ (Pfizer), โมเดอร์นา (Moderna), โนวาแว็กซ์ (Novavax), แจนส์เซน (Janssen) และเคียวแว็ค (CureVac) โดยไฟเซอร์กับโมเดอร์นามีประสิทธิภาพสูงมาก ส่วนโนวาแว็กซ์, แจนส์เซน และแอสตรา เซเนกา ก็มีประสิทธิภาพมากเช่นกัน
การค้นพบครั้งนี้ยังช่วยสร้างความหวังให้กับบรรยากาศการฉลองเทศกาลคริสต์มาสด้วย หลังจาก นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ที่เพิ่งเข้ารับการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ได้ขอร้องไม่ให้บรรดาธุรกิจต่าง ๆ ยกเลิกการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งสวนทางกับจอร์จ ฟรีแมน รัฐมนตรีธุรกิจ ที่ระบุว่าธุรกิจต่าง ๆ ควรจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เหลือเพียง 4-5 คน
ส่วนเธอรีส คอฟฟีย์ รัฐมนตรีบำนาญ เตือนให้เลี่ยงธรรมเนียม "จูบกันใต้พุ่ม mistletoe" สัญลักษณ์ความรักและวันคริสต์มาส และซาจิด จาวิด รัฐมนตรีสาธารณสุข ขอให้ประชาชนเข้ารับการทดสอบหาเชื้อ โควิด-19 และสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยง