ผู้คนหลายหมื่นคน เข้าร่วมในการเดินขบวนที่กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม เพื่อประท้วงต่อต้านมาตรการการจำกัดเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ส่วนการจลาจลต่อต้านข้อจำกัดโควิด-19 ในเนเธอร์แลนด์ ก็ดำเนินต่อไปเป็นคืนที่ 3 ติดต่อกัน
ผู้ประท้วงเบลเยี่ยมบางคน จากจำนวนประมาณ 35,000 คนจากการประเมินของตำรวจ ได้ขว้างปาดอกไม้ไฟเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูง แต่ตำรวจบอกว่าเมื่อความรุนแรงเริ่มขึ้นในช่วงใกล้ค่ำ ผู้ประท้วงจำนวนมากได้กลับไปบ้านแล้ว
นอกจากนั้นผู้ประท้วงยังเผาถังขยะ และทุบรถยนต์ โดยมีรายงานตำรวจ 3 นาย และผู้ประะท้วง 1 คนบาดเจ็บ
งานนี้ผู้ประท้วง 42 คนถูกควบคุมตัว และ 2 คนถูกจับและถูกตั้งข้อหาก่อความรุนแรง
ในเบลเยียม กฎเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยมีความเข้มงวด รวมถึงการเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ร้านอาหารก็จำเป็นต้องมีบัตรผ่านโควิด และชาวเบลเยียมส่วนใหญ่ยังต้องทำงานจากที่บ้านเป็นเวลา 4 วันต่อสัปดาห์จนถึงกลางเดือนธันวาคม นอกจากนี้ ก็ยังมีแผนภาคบังคับให้มีการฉีดวัคซีนสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอีกด้วย
ผู้ประท้วงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการใช้บัตรผ่านโควิด ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ไม่สามารถเข้าไปในสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านอาหาร หรือบาร์ได้ รวมทั้งพวกเขายังไม่พอใจที่ทางการออกมารณรงค์อย่างหนักให้ฉีดวัคซีน และมาตรการบังคับให้ฉีดวัคซีน โดยพวกเขาอ้างถึงเรื่องอิสรภาพ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการประท้วงที่ดุเดือดในเนเธอร์แลนด์ที่ต่อต้านมาตรการล็อคดาวน์เมืองครั้งใหม่
เมื่อคืนวันเสาร์ ผู้คนออกมาก่อเหตุความรุนแรงทั้งขว้างดอกไม้ไฟใส่ตำรวจและจุดไฟเผาจักรยานในกรุงเฮก หลังจากการประท้วงในเมืองรอตเตอร์ดัมเมื่อวันศุกร์กลายเป็นความรุนแรง จนตำรวจต้องยิงปืนใส่ผู้ประท้วง ขณะที่ผู้ประท้วงหลายพันคนก็ออกมาตามท้องถนนในออสเตรีย โครเอเชีย และอิตาลี ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวที่เกิดขึ้นกับมาตรการใหม่ ๆ
ส่วนเมื่อคืนวันอาทิตย์ การจลาจลก็ได้ปะทุขึ้นตามเมืองต่าง ๆ ทั่วเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นคืนที่ 3 ติดต่อกันที่ตำรวจปะทะกับกลุ่มวัยรุ่นที่โกรธแค้น ซึ่งได้จุดไฟเผาและขว้างก้อนหินเพื่อประท้วงข้อจำกัดของโควิด-19
มีการรายงานเหตุการณ์ความไม่สงบตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในเมืองทางตอนเหนือ ทางตะวันออก และทางตอนใต้ของประเทศ
ในการตอบสนองต่อความวุ่นวายที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่การล็อคดาวน์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนในวงกว้างและมีการจับกุมมากกว่า 500 คนเมื่อเดือนมกราคม ตำรวจบอกว่าเจ้าหน้าที่ 5 นาได้รับบาดเจ็บในช่วงข้ามคืนวันเสาร์ และมีผู้ถูกควบคุมตัวอย่างน้อย 64 คนใน 3 จังหวัด
การประท้วงเกิดขึ้นจากการต่อต้านแผนของรัฐบาลที่จะจำกัดการใช้บัตรผ่านโคโรนาสำหรับผู้ที่หายจากโรคโควิด-19 หรือได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว โดยไม่รวมผู้ที่มีผลการทดสอบเป็นลบ
เนเธอร์แลนด์ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งเป็นเวลา 3 สัปดาห์สำหรับประชากร 17.5 ล้านคนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อพยายามชะลอการระบาดของไวรัส แต่การติดเชื้อในแต่ละวันยังคงอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่
เยาวชนบางคนยังไม่พอใจมาตรการห้ามจุดพลุช่วงส่งท้ายปีเก่า เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันเพิ่มเติมต่อโรงพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนมากอยู่แล้วด้วย
ก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO บอกว่ารู้สึก "กังวลอย่างมาก" เกี่ยวกับจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในทวีปนี้ ขณะที่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปตอนกลางและตะวันออก โรงพยาบาลต่าง ๆ ต้องรับมือกับผู้ป่วยจนแทบจะรับไม่ไหว ทั้งในยูเครน รัสเซีย โรมาเนีย สาธารณรัฐเช็ก และสโลวาเกีย
ดร.ฮานส์ คลอจ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคขององค์การอนามัยโลก บอกว่า หากไม่มีมาตรการที่เข้มงวดทั่วยุโรป อาจจะมีผู้เสียชีวิตอีก 5 แสนรายเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิหน้า
“โควิด-19 กลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในภูมิภาคของเราอีกครั้ง เรารู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อต่อสู้กับไวรัส เช่น การรับวัคซีน สวมหน้ากาก และการใช้บัตรผ่านโควิด "
รัฐบาลหลายแห่งทั่วทั้งทวีปกำลังนำข้อจำกัดใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อพยายามรับมือกับการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงนี้หลายประเทศได้รายงานจำนวนผู้ป่วยรายวันที่สูงเป็นประวัติการณ์