26 ตุลาคม 2564 Economic Intelligence Center ( EIC) วิเคราะห์มูลค่าการส่งออกเดือนกันยายน ขยายตัว 17.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (Year over year) ขยายตัวต่อเนื่องในทุกสินค้าและตลาดสำคัญ ยกเว้นตลาดออสเตรเลียที่หดตัวเล็กน้อยจากทองคำ
โดยหากเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล การส่งออกขยายตัวที่ 4.2%MoM_sa ตามสถานการณ์การระบาดโควิด-19 (COVID-19) ของโลกที่ปรับดีขึ้นชัดเจนในช่วงเดือนก.ย. ส่งผลให้อุปสงค์มีการฟื้นตัว อีกทั้ง ผลกระทบจากการหยุดผลิตที่เกิดจากการระบาด COVID-19 ก็ปรับดีขึ้นเช่นกัน
แม้การส่งออกจะฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ปรับดีขึ้น แต่จะยังเผชิญกับปัจจัยกดดันใหม่ในช่วงที่เหลือของปีจากการปรับขึ้นของราคาพลังงานที่นำไปสู่การเร่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะในประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานปรับชะลอลงในระยะสั้น
คาดว่าสถานการณ์จะค่อย ๆ ปรับดีขึ้นในระยะข้างหน้า นอกจากนี้ ยังต้องจับตาเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงจากวิกฤตพลังงานและภาคอสังหาริมทรัพย์จากกรณี Evergrande ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปจีนในช่วงที่เหลือของปีได้
EIC ยังคงคาดการณ์การส่งออกของไทยในปี 2021 ที่ 15%YOY เนื่องจากข้อมูลการส่งออกล่าสุดยังสอดคล้องกับคาดการณ์เดิมที่มองไว้ว่าการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัวจากช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคม ที่เป็นช่วงที่มีการระบาดหนักของสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก แต่ระดับจะไม่ได้สูงเทียบเท่ากับในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ในส่วนของปี 2022 การส่งออกไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.7% ตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
การส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา
มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีหน้าตามการเร่งตัวของเศรษฐกิจที่จะได้ผลดีจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น
การส่งออกรายสินค้า
พบว่าการส่งออกสินค้ายังขยายตัวแบบ %YOY ต่อเนื่อง
การส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา
มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีหน้าตามการเร่งตัวของเศรษฐกิจที่จะได้ผลดีจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นของตลาดสหรัฐฯ (18.5%YOY) ฮ่องกง (33.2%YOY) จีน (27.7%YOY) มาเลเซีย (132.9%YOY) เป็นตลาดหนุนสำคัญ ในขณะที่เนเธอร์แลนด์ (-16%) เป็นตลาดฉุดที่สำคัญ
การส่งออกรายตลาด
พบว่าขยายตัวในทุกตลาดสำคัญ ยกเว้นตลาดออสเตรเลียที่ยังคงหดตัวเล็กน้อยจากทองคำ
ทั้งนี้เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-44.4%YOY) ยังคงเป็นปัจจัยฉุดที่สำคัญต่อเนื่อง
มูลค่านำเข้าในเดือนกันยายน 2021
ขยายตัว 30.3%YOY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 47.9%YOY
โดยเป็นการขยายตัวในทุกหมวดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สินค้าเชื้อเพลิง (43.9%YOY) ที่ขยายตัวจากทั้งฐานต่ำและราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน, สินค้าทุน (16.1%YOY), สินค้าอุปโภคบริโภค (22.2%YOY) และยานพาหนะ และอุปกรณ์การขนส่ง (16.2%YOY) ขณะที่การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปขยายตัวเช่นกันที่ 44.6%YOY
หากหักทองคำจะขยายตัวที่ 43.6%YOY ทั้งนี้ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2021 การนำเข้าขยายตัวที่ 30.9%YOY
ในส่วนของดุลการค้าเดือนกันยายนเกินดุลที่ 609.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรวม 3 ไตรมาสแรกของปี 2021 จะเกินดุลที่ 2,016.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่งออกฟื้นตัวตามสถานการณ์โควิด-19
การส่งออกเดือนกันยายนฟื้นตัวจากช่วงก่อนหน้าตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโลกที่ปรับดีขึ้น โดยการส่งออกในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมปรับลดลงชัดเจนจากผลกระทบของการระบาดสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก แต่สถานการณ์ระบาดได้ปรับดีขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา จึงทำให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และส่งผลดีต่อภาคส่งออกของไทย ทำให้มูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำของไทยปรับเพิ่ม 4.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล (mom_sa)
สอดคล้องกับดัชนี Global Manufacuturing PMI Export Orders และ Manufacturing PMI ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) และอาเซียนที่ฟื้นตัวจากช่วงก่อนหน้า ขณะที่ Manufacturing PMI ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วยังปรับชะลอลงแต่ก็ยังอยู่เหนือระดับ 50 อยู่มาก (รูปที่ 4)
อย่างไรก็ดี แม้การส่งออกจะมีทิศทางฟื้นตัวจากโควิด-19 แต่จะยังเผชิญกับปัจจัยกดดันใหม่
ด้านการขาดแคลนพลังงานของโลกที่นำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น โดยสถานการณ์การขาดแคลนพลังงานของโลกในปัจจุบันเกิดมาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1) COVID-19 ที่กระทบต่อการผลิตพลังงานในช่วงก่อนหน้า ทำให้อุปทานปรับลดลง ในขณะที่ช่วงปัจจุบันเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้อุปสงค์ปรับเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดการขาดแคลนพลังงาน
2) สภาพอากาศที่แปรปรวนกระทบต่อการผลิตพลังงานหลายประเภท เช่น ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน อีกทั้ง หน้าหนาวที่กำลังมาถึง ก็จะเป็นปัจจัยเร่งความต้องการใช้พลังงานเพื่อสร้างความอบอุ่น
3) ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น กรณีการส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเข้ายุโรปที่มีความไม่แน่นอนว่าจะเพียงพอหรือไม่ และความขัดแย้งระหว่างจีนและออสเตรเลียเรื่องถ่านหิน และ
4) การกำลังเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาด (Energy Transition) ที่ทำให้การลงทุนผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลปรับลดหรือชะลอลง ขณะที่พลังงานสะอาดก็ยังไม่สามารถทดแทนได้เต็มที่ จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนพลังงานของโลกในปัจจุบัน
โดยการขาดแคลนที่เกิดขึ้นได้ทำให้ราคาพลังงานหลายประเภทปรับสูงขึ้นอย่างมาก และนำมาซึ่งความกังวลด้านเงินเฟ้อและภาวะ stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจโตต่ำหรือหดตัว ขณะที่เงินเฟ้อเร่งตัวสูง)
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ของหลายฝ่ายคาดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น ขณะที่เศรษฐกิจโลก แม้จะชะลอลงบ้างในระยะสั้นตามกำลังซื้อที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีจากการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ดังนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation จึงยังมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาเศรษฐกิจจีนที่มีความเสี่ยงจากวิกฤตพลังงานและภาคอสังหาริมทรัพย์จากกรณี Evergrande ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปจีนอีกด้วย
ขณะที่ปัจจัยกดดันภาคส่งออกไทยในด้านอื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ที่ยืดเยื้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ทำให้ค่าระวางเรือและระยะเวลาการส่งมอบสินค้าอยู่ในระดับสูงกว่าปกติมาก
แม้การส่งออกไทยยังมีปัจจัยกดดันหลายประการในช่วงที่เหลือของปี 2021 แต่ EIC ยังคงคาดการณ์ที่ 15%YOY (ตัวเลขการส่งออกในระบบดุลการชำระเงิน) เนื่องจากข้อมูลการส่งออกล่าสุดยังสอดคล้องกับคาดการณ์เดิมที่มองไว้ว่าการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัวจากช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคมที่เป็นช่วงที่มีการระบาดหนักของสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก แต่ระดับจะไม่ได้สูงเทียบเท่ากับในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ในส่วนของปี 2022 การส่งออกไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.7% ตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ทั้งนี้การส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนา จะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีหน้าตามการเร่งตัวของเศรษฐกิจที่จะได้ผลดีจากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น
ที่มา : การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, WTO, IMF และ World Bank
อ่านฉบับเต็ม คลิกที่นี่