นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง หลายสมัย พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีคดี ผกก.โจ้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ประเด็นคลุมถุงดำ กับ การซ้อมผู้ต้องหา ในฐานะที่เป็นทนายความที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายโดยระบุว่า
ผมไม่หิวแสง แต่หิวความยุติธรรมที่ตรงไปตรงมา
-คดีตำรวจคลุมถุงดำ อย่ากังวลว่าคนทำผิดจะหลุดคดีไป เป็นไปไม่ได้เพียงแต่การตั้งข้อหา ต้องตั้งตาม"มูลเหตุจูงใจที่เกิดขึ้น" อย่าตั้งตามกระแส ถ้าตั้งข้อหาตามกระแส แทนที่สังคมจะได้รับความยุติธรรม กลับจะทำให้สังคมเสียความยุติธรรมไปด้วยซ้ำผมว่า สตช.เขาไม่เสี่ยงกับเรื่องนี้หรอก เขาตั้งเต็มเหนี่ยวแล้ว เราก็ต้องไว้วางใจคนอื่นบ้าง ผมยกตัวอย่างว่า เหมือนเราเห็นคนที่เราเกลียดคนหนึ่งกำลังเดินข้ามถนนในเวลากลางคืน เราขับรถชนเขาตาย ตำรวจจะตั้งข้อหาประมาท หรือ ข้อหาเจตนาฆ่า หรือข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองล่ะครับ ไม่ง่ายนะครับ ตั้งข้อหาผิดแทนที่จะยุติธรรม กลับ "อยุติธรรม" เสียด้วยซ้ำ
-ตำรวจทำเรื่องนี้ได้ไม่กี่วันหรอกจากนั้นต้องส่งให้ปปช.หรือ ปปท.ให้เป็นคนไต่สวน
-มีคนถามผมเยอะ ถามทุกวัน ก็ขอออกความเห็นเพียงแค่นี้นะครับ มันจะกระทบกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ ส่วนที่ทนายความบางคนเขาขัดแย้งกัน เราก็ดูๆไป อย่าไปถือสาหาความเขาเลย เขานำเรื่องนี้มาเปิดเผยก็ดีแล้ว เพราะแต่ละคนมีข้อมูลในมือไม่เหมือนกัน เหมือนเรายืนอยู่ในจุดที่ต่างกัน บางคนอาจมองเลข 6 เป็นเลข 9 บางคนอาจมองเลข 9 เป็นเลข 6 ศาลเองเขายังมีตั้ง 3 ศาล ทนายเห็นต่างกันบ้างมันก็ธรรมดา
-ว่าจะไม่เขียนต่อแล้ว แต่เมื่อคืนเห็นอัยการปรเมศวร์ ไปออกทีวีช่อง 3 บอกว่าทำคดีอาญามา 30 ปี ไม่เห็นด้วยกับนายนิพิฏฐ์ ผมก็ขอบอกว่าผมก็ทำคดีมา 30 ปีเหมือนกัน ผมยังไม่ฟันธงเลยว่าควรตั้งข้อหาประเด็นไหน เพราะข้อเท็จจริงผมยังไม่พอ ผมเพียงเตือนให้รอบคอบอย่าทำตามกระแสเท่านั้น ตอนอัยการปรเมศวร์ เมาสุราขับรถชนคนแล้วไม่จอดช่วยเหลือ จนมีคนขับรถตามไปแล้วสกัดจับท่านได้ ผมเห็นว่าควรมีข้อหาชนแล้วหนีด้วย แต่อัยการด้วยกันสั่งไม่ฟ้องข้อหาชนแล้วหนี ถามว่าผมขัดใจไหม ตอบว่า ขัดใจครับ แต่เมื่ออัยการไม่ฟ้องอัยการด้วยกัน "ความเป็นธรรมก็ยุติ" ผมจะว่าไม่ยุติธรรมก็ไม่ได้เดี๋ยวท่านจะฟ้องเอา ผมก็ต้องกลืนความยุติธรรมที่ระบบของประเทศนี้ประเคนให้ไว้ในอก เห็นไหมครับ เราทำคดีมาคนละ 30 ปี แค่เรื่องขับรถชนคนแล้วหนี ผมกับอธิบดีอัยการปรเมศวร์ยังเห็นต่างกันเลย อย่ามีใครริเอาแสงใส่จานมาวางให้ผมนะ ผมเป็นคนไม่หิวแสง ผมไม่กินแสง ตรงไป ตรงมา อย่างนี้แหละ/
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา นายนิพิฏฐ์ ยังได้โพสต์เกี่ยวกับคดี ผกก.โจ้ ว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ ระบุว่า
ดีคลุมถุงดำ กับ การซ้อมผู้ต้องหา
-ตำรวจกับคดีคลุงถุงดำซ้อมผู้ต้องหา มิใช่ของใหม่ แต่มีมานานแล้ว สมัยผมยังว่าความอยู่ ตอนนั้นผมยังห้าวอยู่ ก็แบบนี้แหละเหมือนกันเป๊ะ!! หนักกว่านี้เสียอีกคดีนั้น ใส่กุญแจมือ ใช้น้ำราดพื้นให้ผู้ต้องหานั่งแล้วใช้ไฟช้อตที่พื้น จนผู้ต้องหารับสารภาพ แต่ผมก็สู้คดีหลุดเพราะการสอบสวนไม่ชอบ ทั้งที่มียาเสพติดในครอบครองจริง 😅
-กลับมาคดีที่นครสวรรค์ ผมอยากเตือนตำรวจว่า อย่าทำตามกระแส เพราะจะทำงานยาก คดีนี้ "ผิดแน่นอน" (แต่ใครผิดบ้างไม่รู้) มีการทำร้ายผู้ต้องหาจนตาย แต่การสอบสวนเพื่อให้สามารถลงโทษผู้ต้องหาได้ตามข้อหาที่เป็นจริง ไม่ใช่เรื่องง่าย นักกฎหมาย ลองตอบคำถามผมดู
1.คดีนี้ เป็นการฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผลหรือไม่ ถ้าจะตอบแบบไม่คิดอะไร ตอบแบบสูตรสำเร็จ ตอบแบบพวกขี้เกียจอ่านตำรา ยกกาแฟขึ้นดื่ม ค่อยๆวางแก้วลงวางมาดนิดหน่อย ก็ตอบตามแนวฎีกาที่ 5332/2560 ว่า เป็นการฆ่าโดยเจตนา โดยเล็งเห็นผล
2.งั้นผมจะถามต่อไปว่า ถ้าเจตนาฆ่า แล้วทำไมต้องกู้ชีพด้วยการทำ CPR เพราะตามคลิปเห็นชัดว่ามีการกดกระตุ้นหัวใจหลายครั้ง แต่ไม่สามารถกู้ชีพคืนได้ ถ้าเจตนาฆ่า เมื่อตายแล้วก็จบสิ สมเจตนาที่ทำแล้ว จะไปกู้ชีพทำไม
3.หรือ คดีนี้ เป็นเพียง "รีดเอาทรัพย์" เพราะถ้าเป็นการรีดเอาทรัพย์ ก็ต้องเริ่มด้วยการตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มิใช่ เริ่มด้วยฆ่าด้วยเจตนา
-ทั้งหมดเป็นเรื่องยากที่คนไม่เรียนกฎหมายจะเข้าใจ ผมเขียนเรื่องนี้เพียงเตือนด้วยความรู้น้อย ไม่อยากให้ผิดพลาด แต่คิดว่ามือสอบสวนของสตช.ก็คงระดับมือพระกาฬ ประการสำคัญตำรวจ และ อัยการ ต้องไม่ทำตามกระแส มิฉะนั้น การลงโทษก็ไม่เป็นไปตามสัดส่วนแห่งการกระทำความผิด
-เรื่องนี้ ประชาชนต้องการเห็นการดำเนินคดีที่รวดเร็ว เป็นธรรม และ ผู้กระทำผิดต้องถูกลงโทษ ไม่ยากหรอก พยานหลักฐานชัด ยากที่การตั้งข้อหา ว่า เจตนาฆ่าโดยการเล็งเห็นผล หรือ รีดเอาทรัพย์ +ทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย??? มีคนถามผมเยอะว่าความเห็นผมเป็นอย่างไร ผมได้แต่ตอบว่า ผมเป็นนักกฎหมายบ้านนอก บำเพ็ญพรต บำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ตามป่าเขา เรื่องอย่างนี้อย่ามาถามผมเลย