เมื่อ “ภาวะหมดไฟ” หรือ Burnout Syndrome เป็นปรากฏการณ์ระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า Burnout Syndrome เกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ กลายเป็นภาวะหมดไฟในการทำงาน นับเป็นภาวะทางสุขภาพซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษา เพราะส่งผลทำให้เกิด “โรคซึมเศร้า” ได้ในระยะยาว เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วโลก อีกทั้งโรคซึมเศร้ายังเป็นสาเหตุอันดับ 9 ที่ทำให้คนไทยเจ็บป่วย
อาการของ “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” ที่ปรากฏคือ ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกสูญเสียพลังงานทางจิตใจ มองความสามารถในการทำงานของตนเองในเชิงลบ ขาดความรู้สึกประสบความสำเร็จ มองความสัมพันธ์ในที่ทำงานไปในทางลบ รู้สึกเหินห่างจากคนอื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงานหรือลูกค้า
ซึ่งหากปล่อยไว้อาจส่งผลด้านร่างกาย ทำให้มีอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ ส่วนผลด้านจิตใจ ทำให้บางคนขาดแรงจูงใจ ไร้ความหวัง ส่งผลให้นอนไม่หลับ เสี่ยงต่อการใช้สารเสพติดเพื่อจัดการกับอารมณ์ ส่วนผลต่อการทำงาน เช่น ขาดงานบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และรุนแรงถึงขั้นลาออก
อายุน้อยยิ่งเสี่ยง Burnout Syndrome สูง
สถานการณ์ Burnout Syndrome ในประเทศไทยน่ากังวลไม่น้อย ผลสำรวจโดยวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า คนวัยทำงานในกรุงเทพฯ ร้อยละ 12 อยู่ในภาวะหมดไฟ และร้อยละ 57 มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะหมดไฟ
ที่น่าสังเกตคือ ยิ่งอายุน้อยยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็น Burnout Syndrome สูง
หากแยกเป็นกลุ่มอาชีพ คนที่มีภาวะ Burnout Syndrome มากที่สุดคือ
ผลสำรวจนี้ยังระบุเหตุผลหลักซึ่งทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน คือปริมาณงานและคนที่ไม่สมดุลกัน รวมทั้งการใช้เครื่องมือหรือระบบที่ไม่เหมาะสม ทำให้ลดเวลาและกระบวนการทำงานไม่ได้ หัวหน้างานขาดความรับผิดชอบ ไม่ฟังความคิดเห็น และโครงสร้างองค์กรที่ไม่มีความยืดหยุ่น
3 สัญญาณเตือน...เครียดแค่ไหนเรียก “หมดไฟ”
1. สัญญานเตือนทางอารมณ์ รู้สึกหดหู่ เศร้า อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิด ไม่พอใจในงานที่ทำ
2. สัญญานเตือนทางความคิด เริ่มมองงานหรือคนอื่นในแง่ร้าย ระแวงง่ายขึ้น โทษคนอื่น สงสัยความสามารถของตนเอง และอยากเลี่ยงปัญหา
3. สัญญานเตือนทางพฤติกรรม มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น ผัดวันประกันพรุ่ง ทำกิจกรรมสร้างความสุขลดลง เริ่มมาทำงานสายบ่อยขึ้น บริหารจัดการเวลาแย่ลง
เทคนิคเติมไฟวัยทำงาน
ผลสำรวจพบว่า คนที่อยู่ในภาวะหมดไฟมักแก้ปัญหาแตกต่างกัน “ผู้ชาย” เลือกคลายเครียดด้วยการเล่นเกม ออกกำลังกาย และการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ขณะที่ “ผู้หญิง” มักพูดคุยกับเพื่อน ใช้โซเชียลมีเดีย และการพูดคุยกับครอบครัวเพื่อป้องกันภาวะหมดไฟ โดยเราสามารถเริ่มต้นนำความสมดุลกลับมาสู่ชีวิตด้วยวิธีการดังนี้